Skip links

Soft Power News

AV and Soft Power การประกอบสร้างและเผยแพร่สตรีในฝันผ่านหนัง AV

  รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อนิเมะ และหนังผู้ใหญ่ ธุรกิจ 4 ประการอันเป็นภาพจำของใครหลายคนที่มีต่อประเทศญี่ปุ่น และถึงแม้ในบางอุตสาหกรรมจะมีคู่แข่งทั้งหน้าเก่า-หน้าใหม่ เข้ามาต่อกรสินค้าจากญี่ปุ่นกันอย่างแข็งขัน แต่พูดก็พูดเถอะ ในบรรดาอุตสาหกรรมเหล่านี้ มีเพียง “ธุรกิจสุดสยิว” นี่แหละ ที่ญี่ปุ่นยืนหนึ่ง ทิ้งห่างคู่แข่งแทบไม่เห็นฝุ่น 【No.1 หนังโป๊】 เนื่องเพราะมูลค่าทางการตลาดของสื่อลามกญี่ปุ่น มีฐานะเป็นอันดับหนึ่งของโลก และมีขนาดใหญ่กว่าอันดับที่สองอย่างสหรัฐอเมริกาถึงสองเท่า โดยคาดว่าสามารถผลิตวิดีโอได้ 4,500 รายการต่อเดือน สร้างรายได้ประมาณ 5.5 หมื่นล้านเยน (ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท) ต่อปี ยังไม่รวมของเล่นผู้ใหญ่จำพวก Sex Toy ซึ่งนำรายได้เข้าประเทศโดยตรง และขยายตัวต่อเนื่องทุกปี ทั้งยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นมาก จากภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (ED) ที่เพิ่มขึ้นในญี่ปุ่น ทั้งนี้ นอกจาก AV จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยให้สำเร็จกิจในกามแล้ว คุณสมบัติอีกประการหนึ่ง อันเป็นผลพลอยได้ของ AV คือการส่งออกทางวัฒนธรรม 【นางเอก AV ต้องคาวาอี้เดสก๊ะ?】 เพราะหากพิจารณาคาแรกเตอร์นางเอก AV ของญี่ปุ่นจะพบได้ว่า มีส่วนสะท้อนลักษณะนิสัยของคนญี่ปุ่นอยู่ไม่น้อย ทั้งความน่ารักสดใส ขี้อาย ขี้เกรงใจ ไม่เชี่ยวชาญ หรือไม่มีประสบการณ์เรื่องพรรค์นั้น ราวกับสิ่งเหล่านี้คืออุดมคติที่สุภาพสตรีญี่ปุ่นพึงมี หรือกล่าวอีกอย่างคือ “สังคมญี่ปุ่นประกอบสร้างภาพลักษณ์ของผู้หญิงในฝันผ่านหนัง AV” ไม่ต่างจากสื่อบันเทิงอื่นๆ อาทิ อนิเมะ ซีรี่ส์ หรือภาพยนตร์ ดังฉะนี้ หนัง AV จากแดนปลาดิบจึงสะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นของคนญี่ปุ่นได้ไม่มากก็น้อย และถึงแม้ว่าผู้ชมมักจะกรอข้ามอยู่บ่อยๆ กระทั่งดูไม่ค่อยจบก็เถอะ แต่ทว่าการที่นักแสดงเปลือยกายล่อนจ้อน ก็ทำให้เห็นธาตุแท้แห่งพฤติกรรมคนญี่ปุ่นได้มากกว่าสื่ออื่นใด และความน่ารักสดใส-คาวาอี้นี่เองก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้ผู้ชมจดจำลักษณะนิสัยของผู้หญิงญี่ปุ่นได้ ตรงกันข้ามกับหนังผู้ใหญ่จากโซนอเมริกา / ยุโรป ที่ฝ่ายหญิงจะมีความเชี่ยวชาญเรื่องเพศมากกว่า และดูเขินอายน้อยกว่า 【เป็นมากกว่าสื่อลามก】 ยิ่งไปกว่านั้น วงการ AV ของญี่ปุ่นยังพิเศษกว่าที่อื่นๆ ก็ตรงที่ในยุคหลังๆ มานี้ มีการบูรณาการเข้ากับศาสตร์แห่งการเป็นไอดอล ไม่ต่างจากศิลปิน-นักแสดงวงการอื่นๆ อันเห็นได้จากการที่ดารา AV หลายรายมีฐานแฟนเหนียวแน่น คอยตามเชียร์ ตามสนับสนุน ทั้งในตัวผลงาน

เข้าถึงซอฟต์พาวเวอร์โคราชแบบลูกหลานย่าโมตัวจริง ก็ใส่กางเกงแมวโคราชซ้อมเต้นไปเลยสิคะ!

หลัง BABYMONSTER ปล่อยเบื้องหลังการซ้อมเต้นออกมา ก็มีแฟนๆ สะดุดกับลุคซ้อมเต้นของ แคนนี่ หรือ ชิกิต้า BABYMONSTER ที่ใส่ กางเกงแมวโคราช ซ้อมเต้นเพลง SHEESH เวอร์ชันแบนด์ครั้งแรก ทำเอาแฟนๆ ตามหา สั่งจอง สั่งซื้อกันจนยอดจองล้นทะลัก . เรียกว่านอกจากจะเป็นไอดอลแล้ว ยังไม่ทิ้งตำแหน่งลูกหลานย่าโม ช่วยพาซอฟพาว์เวอร์โคราชสู่สายตาแฟนๆ ทั่วโลกในเวลาเดียวกันไปเลย … BABYMONSTER – ‘SHEESH’ The LAST MUSIC SHOW BEHIND: https://www.youtube.com/watch?v=WFkulBriLnY  

จากเกาหลีสู่ลาตินอเมริกา ก้าวต่อไปของซอฟต์พาวเวอร์เกาหลี?

  การพัดพามาถึงของกระแสฮันรยู (Hallyu: 한류) ในพื้นที่เอเชียเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ทั้งในแง่ของระยะทางและสภาพสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการเติบโต โดยส่วนใหญ่แล้ว การศึกษาเชิงวิชาการและบทความต่างๆ จะมุ่งเน้นไปในพื้นที่เอเชียอย่างจีน ญี่ปุ่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทย อินโด มาเล . ทว่า ในช่วงระยะหลังมานี้เราเริ่มเห็นได้ชัดขึ้นว่า กระแสฮันรยู ไม่ได้หยุดอยู่แค่เอเชีย แต่ยังเดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเล ข้ามมหาสมุทร ข้ามวัฒนธรรม ไปถึง “ลาตินอเมริกา” . จากสถิติของทวิตเตอร์ ในปี 2021 เปิดเผยว่าสถิติประเทศที่ทวีตเกี่ยวกับ เค-ป๊อปมากที่สุด 20 อันดับ กว่า 7 ประเทศล้วนเป็นประเทศที่อยู่ในพื้นที่ลาตินอเมริกา ได้แก่ อันดับ6 เม็กซิโก / อันดับ8 บราซิล / อันดับ11 เปรู / อันดับ12 อาร์เจนตินา / อันดับ15 ชิลี / อันดับ16 โคลอมเบียและอันดับ19 เอกวาดอร์  . ส่วนในปี 2022 ประเทศที่ทวีตเกี่ยวกับ เค-คอนเทนต์มากที่สุด 20 อันดับ ก็มีประเทศที่อยู่ในพื้นที่ลาตินอเมริกาถึง 4 ประเทศ  ได้แก่ อันดับ8 บราซิล / อันดับ11 เม็กซิโก / อันดับ18 ตุรเคียและอันดับ20 เปรู … แล้วกระแสนี้พัดไปไกลขนาดนั้นได้ยังไง ? … ถ้าเป็นในไทยหากพูดถึงเทคโนโลยี ญี่ปุ่น แต่ถ้าในแถบอเมริกาใต้ เกาหลีใต้ เนื่องจากในช่วง 1905 ชาวเกาหลีพลัดถิ่น ทำให้หลังจากนั้น มีสินค้าเกาหลีเข้าสู่ตลาดลาตินอเมริกาจำนวนมาก สร้างภาพลักษณ์ให้เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีปูพื้น . อีกทั้งในมุมมองของผู้คนในพื้นที่ ยังมองว่าเกาหลีใต้เป็นประเทศที่ไม่ใช่ชาติตะวันตก และยังเป็นประเทศในช่วงหลังอาณานิคมที่มีประวัติการต่อสู้ทางการเมืองโชกโชน ซึ่งช่วยประกอบร่างความเป็นสมัยให้เกาหลีใต้ได้เป็นอย่างดี   . อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหลักทีทำให้กระแสฮันรยูประสบความสำเร็จทุกพื้นที่ในโลก รวมถึงลาตินอเมริกา

ต้อนรับ Pride Month ด้วยเพลงแทนใจชาว LGBTQ+

  ในเดือนแห่งความภูมิใจ บทเพลงและเสียงดนตรี ถือว่าเป็นองค์ประกอบหลัก เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มความสนุกสนานให้แก่การเฉลิมฉลองแล้ว เพลงยังเป็นอีกหนึ่งพื้นที่แสดงตัวตนที่เปิดให้ผู้ฟังได้ปลดปล่อยตัวตนไปกับบทเพลงอย่างเสรี โดยเฉพาะกับชาวแดร็ก (Drag) ที่อาศัยการลิปซิงก์ถ่ายทอดตัวตน อารมณ์ ความรู้สึกที่หลากหลายไปกับเสียงดนตรี ทำให้เพลงกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในเดือนนี้ . ‘ก็ใจเรียกร้อง สองไม่ได้อยากเป็นผู้ชาย เข้าใจบ้างไหม หัวใจของสองมันเป็นผู้หญิง’ ในปีที่แล้ว ไอ้สอง – TaitosmitH Feat. เบน ชลาทิศ วงดนตรีเพื่อชีวิตจาก Gene Lab ที่หยิบยกเรื่องราวของชีวิตลูกชายที่ไม่ได้อยากเป็นลูกชายในครอบครัวตามขนบที่พ่อเป็นทหาร แม่เป็นพยาบาล พร้อมจะโอบรับตัวตนลูก ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงโดนใจที่ถูกเพิ่มเข้าใน playlist ของชาว LGBTQ+ แบบอัตโนมัติ . ในปีนี้ อีกไม่กี่วันก็จะก้าวเข้าสู่ Pride Month ทำให้เหล่าศิลปินเริ่มทยอยปล่อยเพลง เพื่อร่วมสนับสนุนความหลากหลายและร่วมสร้างบรรยากาศเฉลิมฉลองความหลากหลายกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็น … เผย – Hard Boy ‘แต่ต่อจากนี้ จะไม่คอยปิดบังตัวเอง อีกแล้ว จะเปิดเผยให้โลกได้รู้ ว่ามี คนอย่างฉัน’ เพียงเพราะแค่แตกต่าง ทำให้โดนรังแก ดูถูก เหยียดหยามมากมาย เพลงนี้จึงอยากชวนให้ทุกคน เผย ตัวตนของตัวเองให้โลกรู้ว่า ‘ฉัน ไม่ แคร์’ สังคมอีกต่อไป ด้วยการผสานความร็อก ยุค 80 กับออเคสตราอย่างลงตัว เพิ่มความอิมแพ็คให้เพลงนี้ไปอีกขั้น . พร้อมในเอ็มวียังได้ “ไจ๋ ซีร่า” แดร็กควีนระดับตำนานของไทยร่วม เผย อารมณ์และความรู้สึกของเพลงให้ส่งตรงถึงใจคนฟังให้ออกมา เผย ตัวตนแบบที่ไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป … Don’t Kill The Vibe – THAMMACHADxToocalderonexElista the Drag Gamer ft.Laganja Estranja ‘Don’t kill the vibe Let’s rock the night’ เพลงรวมแดร็กควีนระดับท็อป

กระบี่จ๋าา พี่มาแล้ววว ทำไม Jurassic world 4 เลือกกระบี่เป็นสถานที่ถ่ายทำ?

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Jurassic world 4 ที่กำลังจะเริ่มถ่ายทำในเดือนหน้านี้ ได้เลือกจังหวัดกระบี่และจังหวัดตรัง เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำ หลังจากมีการยืนยันจากเจ้าหน้าที่อุทยานว่า มีการติดต่อขอใช้สถานที่เพื่อถ่ายทำภาพยนตร์จริง . ส่วนเหตุที่ทำให้ข่าวนี้แพร่สะพัด ส่วนหนึ่งก็มาจากตัวผู้กำกับนามว่า Gareth Edwards นี่แหละ เนื่องจากแกเป็นนักท่องโลกคนหนึ่ง และก่อนหน้าที่พี่แกจะมากุมบังเหียนโปรเจกต์ Jurassic world 4 ผู้กำกับชาวอังกฤษผู้นี้ เคยยกกองถ่ายของตน บินลัดฟ้ามาถ่ายทำที่ประเทศไทยครั้งหนึ่งแล้ว ในเรื่อง The Creator (2023) . โดยในเรื่องดังกล่าว James Clyne ผู้มีตำแหน่งเป็น Production Designer เคยเปิดเผยไว้ว่า เราใช้โลเคชั่นในประเทศไทยไปราวๆ 60 – 70 แห่ง (We probably had 60-70 different locations) ทั้ง กรุงเทพฯ สังขละบุรี ภูเก็ต กาญจนบุรี พังงา เชียงดาว สามพันโบก สถานีรถไฟ สนามบินสุวรรณภูมิ แอร์พอร์ตลิ้งค์ อิมแพ็ค อารีน่า ฯลฯ และแน่นอนรวมถึงจังหวัดกระบี่ด้วย . ไม่เพียงแค่นั้น James Clyne ยังเพิ่มเติมอีกว่า Gareth Edwards เคยเช่าบ้านพักอยู่ในจังหวัดกระบี่ เป็นบ้านที่สวยงาม อยู่ติดชายหาด มีผาหินขนาดใหญ่อยู่รอบๆ และสถานที่แห่งนั้นเองก็เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้กำกับชาวอังกฤษสร้างสรรค์ภาพยนตร์ The Creator ด้วยเช่นกัน . เช่นนี้แล้ว เมื่อ Gareth Edwards ขึ้นแท่นผู้กำกับภาพยนตร์มหากาพย์ไดโนเสาร์ Jurassic world 4 จึงไม่เกินความคาดหมาย ที่พี่แกจะหวนมารำลึกความหลังยังสถานที่ซึ่งเคยผูกพันมาก่อนในประเทศไทย เฉพาะยิ่งจังหวัดกระบี่ . นับเป็นอีกครั้ง ที่จังหวัดกระบี่เข้ารอบสุดท้ายในการเลือกโลเคชั่นถ่ายทำของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ระดับโลก หลังจากที่เคยถูกเลือกมาแล้วใน The Beach (2000) , Fast 9 (2021)

เทอม 3 สามเรื่องหลอน จากสามมหา’ลัยดัง

ทุกมหา’ลัยล้วนมีตำนาน ทุกสถานศึกษาล้วนมีเรื่องเล่า เป็นมุขปาฐะเขย่าขวัญที่เล่าสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น . เรื่องสยองสามเรื่อง จากสามมหา’ลัย ถูกรวบรวมไว้ใน เทอม 3 ภาพยนตร์เรื่องล่าสุด จากการโปรดิวซ์โดย “มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” และ “โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ” พร้อมรวมพลผู้กำกับรุ่นใหม่ที่มากันถึงสี่คน ประกอบไปด้วย “เบิ้ล-นนทวัฒน์ นำเบญจพล”, “โจ้-อรุณกร พิค”, “นัทสอ-สรวิชญ์ เมืองแก้ว” และ “ตู้-อัศฎา ลิขิตบุญมา” . แน่นอนว่า เมื่อเป็นเรื่องผีแบบไทยๆ ในทั้งสามตอนจึงมีองค์ประกอบความหลอนแบบไทยๆ ไว้ครบถ้วน อาทิ ตอน ‘ขบวนแห่’ ที่มีการบนบานศาลกล่าว อันเป็นพิธีกรรมยอดนิยมของหลายคน ส่วนตอน ‘พี่เทค’ ก็มาพร้อมกับระบบอำนาจนิยม ในรั้วมหา’ลัย อย่างการรับน้อง หรือ SOTUS หรือตอนสุดท้าย ‘ศาลล่องหน’ ก็มีทั้งพวงมาลัย, น้ำแดง, นางรำ เรียกว่าพกองค์ประกอบแห่งความหลอนมาอย่างครบครัน . แต่ทว่า นี่ไม่ใช่หนังผีที่น่ากลัวที่สุด หรือสยองขวัญที่สุด หากแต่ด้วยความที่เป็นเรื่องเล่า ซึ่งส่งต่อกันมาจากปากต่อปาก จึงทำให้ในแต่ละเรื่องยังเหลือพื้นที่แห่งการตีความที่ผู้กำกับแต่ละคน สามารถเพิ่มเติมไอเดียของตนลงไปได้ตามสไตล์ที่อยากนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็น ดราม่าเรียกน้ำตา เอฟเฟคต์เว่อวัง หรือซีนตลกโปกฮาก็ยังมี แทบจะเป็นสามเรื่อง สามอารมณ์เลยแหละ เห็นที กระแสหนังผีไทยคงจะไม่ซาลงไปง่ายๆ ซะแล้ว . สามารถรับชมเทอม 3 ได้แล้ววันนี้ ทุกโรงภาพยนตร์  

‘𝐁𝐮𝐭𝐭𝐞𝐫𝐛𝐞𝐚𝐫’ ดาราสาวคนใหม่ ขวัญใจชาวเน็ต!

ต่อจากลาบูบู้ ก็มีน้องหมีเนย (Butter Bear) นี่แหละที่ทำเอาชาวเน็ตทั้งไทยและต่างชาติต้องมาต่อแถวรอเข้าคิวถ่ายรูปกับน้อง โดยเฉพาะแม่ๆชาวจีนที่ดูจะชื่นชอบน้องเป็นพิเศษ กวาดพื้นที่ถ่ายรูปและสินค้าอื่นๆจากทางแบรนด์ไปเกินครึ่ง จนแบรนด์ต้องออกตารางโชว์ตัว ทั้งภาษาไทยและภาษาจีนให้แฟนๆ มารอต้อนรับ . น้องหมีเนย (Butter Bear)  เดบิวต์ด้วยตำแหน่งมาสคอตประจำแบรนด์ขนมหวาน ‘Butterbear’ ของร้านขนมชื่อดัง Coffee Beans by Dao ซึ่งดีไซน์โดย ‘Lalalhuay’ นักวาดภาพประกอบไทยสายอาหารลายเส้นอบอุ่นที่ออกแบบน้องหมีให้มาคอยเสิร์ฟความอร่อยให้ลูกค้า . แต่ตอนนี้ นอกจากน้องหมีเนยจะคอยเสิร์ฟความอร่อยแล้ว น้องยังกลายเป็น ไอดอลสาวน้องใหม่ที่น่าจับตามอง เพราะไม่ว่าจะขยับตัวกี่ครั้ง หรือเต้นเพลงไหน ก็มีแต่คำว่าน่ารัก นุ่มนิ่ม นุ้บนิ้บเต็มไปหมด … สามารถติดตามความน่ารักและตารางโชว์ตัวของน้อง Butterbear ได้ที่ IG : butterbear.th https://www.instagram.com/butterbear.th/ … สามารถติดตามผลงานอื่นๆของนักวาดภาพประกอบได้ที่ IG : Lalalhuay https://www.instagram.com/lalalhuay/  

คนกราบหมา 25ปี กว่าจะถูกเรียกว่า “หนังตลก”

  “ผู้คนเชื่อเรื่องอะไรก็ได้ที่พวกเขาเชื่อ” . เมื่อความเน่าเฟะของวงการสงฆ์ ทำให้ไม่เชื่อในสงฆ์ ความรักจากคู่ชีวิตที่ดูท่าจะไม่ราบรื่น ทำให้ไม่เชื่อในสามี ความเจ็บป่วยจากโรคซึมเศร้า ทำให้ไม่เชื่อในความหมายของชีวิต ฯลฯ . เมื่อนั้นการเชื่อหมา บูชาหมา และแสดงสัญชาตญาณแบบหมากลายเป็นหนทางยึดเหนี่ยวจิตใจ ผู้คนจึงหันมากราบหมา … ด้วยความสงสัยว่ารูปการณ์ใดที่ทำให้ “คนกราบหมา” ต้องโทษกล่าวหาที่รุนแรงอย่าง “หมิ่นทุกศาสนา” มากกว่า 25 ปี เพราะแม้แต่ตัวผู้กำกับและทีมงานเองยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด เราจึงต้องเข้าไปหาคำตอบด้วยตัวเอง . “คนกราบหมา” เป็นหนังที่อายุมากกว่าเราด้วยซ้ำ แถมยังเป็นหนังอินดี้ตั้งแต่ดูตัวอย่างหนัง เราเลยถอดสมองวางไว้ตั้งแต่ก่อนเข้าโรง พร้อมให้หนังพาเราเข้าไปสำรวจลัทธิ “ล้างสมอง” ที่จะเล่นตลกกับ “ความเชื่อ” ของเราที่จะกระตุกสำนึกคิดว่าเรานั้นเหมือนหรือต่างกับเหล่าสาวกผู้กราบหมาหรือไม่ อย่างไร . ในอาศรมแห่งรักไร้พรมแดน เราอยากจะเรียกว่าโลกนี้เป็น “โลกใหม่” ที่อยู่นอกเหนือศีลธรรมและตรรกะของสังคมทั่วไป แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะในวันที่สังคมไทยยังมีกลุ่มคนที่เชื่อมจิตและรับคลื่นพลังบุญกันอยู่ เราก็คงเป็นอีกหนึ่งเสียงที่พูดว่า “หนังเรื่องนี้ไม่เก่าเลย” . ความไม่เก่าเลย แม้จะผ่านไปนานกว่า 25 ปี ในทางหนึ่งหมายถึง หนังเรื่องนี้มีความก้าวหน้าจากหนังเรื่องอื่นในยุคเดียวกันเป็นอย่างมาก ทั้งยังกล้านำเสนอเหตุการณ์ที่จะพาให้คนไม่เชื่อในศาสนาอย่างพระเสพเมถุนกับศพ หลวงเจ๊(?)กับเด็กวัด พระชั้นผู้ใหญ่ที่มองว่าลัททธินี้เป็นเรื่องตลกและไม่ได้จัดการอะไร แถมยังนำองค์ประกอบทางศาสนา รูปเคารพของศาสนาอื่นมาใช้บ้างประปราย ล้วนเสริมความแข็งแรงให้ความตลกร้ายเหนือขึ้นไปอีกขั้น . ทว่า ความตลกของผู้กำกับและทีมนักแสดงที่ตั้งใจทำกันด้วยงบไม่กี่บาท กลับไม่ตลกในมุมของกองเซ็นเซอร์ในขณะนั้น จึงถูกแปะป้ายให้กลายเป็นหนัง “หมิ่นทุกศาสนา”  . แม้เรื่องเหล่านี้จะเป็นเรื่องที่เราพบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวันหรือตามข่าวมานานหลายสิบปี และนานกว่า 25 ปีแน่นอน แต่ในขณะนั้น เรื่องราวเหล่านี้กลับเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหยิบขึ้นมาอย่าง “ตั้งใจ” เพื่อทำให้เห็นชัดขึ้นได้ พาลให้ คนกราบหมา กลายเป็นหนังที่ถูกขโมยเวลาที่จะได้โลดแล่นในโลกภาพยนตร์ไทยนานถึง 25 ปี . แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยตัวเนื้อเรื่องที่ดำเนินเป็นภาษาอังกฤษเกือบทั้งหมด ทำให้คนกราบหมามักถูกผู้ที่สนใจนำไปฉายในต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง นับว่าเป็นหนังไทยอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยในมุมมของต่างประเทศ . ดังนั้น การปลดข้อกล่าวหาให้ คนกราบหมา จึงเป็นตัวอย่างการแสดงเสรีภาพในการแสดงออกผ่านหนังที่อาจจะเรียกว่าเปิดกว้างขึ้น เนื่องจากยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ประจวบเหมาะพอดีกับการตั้งคำถามว่าพรบ. ภาพยนตร์และวิดิทัศน์ พ.ศ. 2551 และกองเซ็นเซอร์ต้องถูกปรับแก้หรือไม่ เพื่อเสรีภาพของคนทำหนัง . และอาจจะเป็นใบเบิกทางไปต่อให้แก่ “เชคสเปียร์ต้องตาย” หนังอีกเรื่องหนึ่งของผู้กำกับที่ตกอยู่ในชะตากรรมไม่ต่างกัน จนถึงขั้นฟ้องร้องศาล

วงการ T-POP ไทยร้อนไฟลุก หลังช่อง 3 เปิด BEC MUSIC เข้ามารันวงการแล้วหนึ่ง!!!

วงการละครกับวงการเพลงในบ้านเรานั้นถือเป็น 2 อุตสาหกรรมที่มีส่วนเชื่อมโยงถึงกันโดยมิอาจแยกออก ที่ผ่านมาเราจึงได้เห็นขาใหญ่วงการเพลงย่านอโศกโดดเข้ามาทำ GMMTV, เราได้เห็น RS เข้ามาสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพให้รับชมผ่านทางหน้าจอช่อง 8 แล้วขาใหญ่วงการทีวีอย่างช่อง 3 ถ้าจะโดดข้ามมาชิมลางวงการเพลงบ้าง มันก็ไม่น่าใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด…จริงใหม https://theattraction.co/wp-content/uploads/2024/05/การเดินทางครั้งใหม่ของเสียงดนตรี-เริ่มต้นที่นี่-พบกับ-BEC-Music.mp4#t=0.02 ตัวอย่างการอัพคลาส อัพเลเวล จากนักแสดงไปสู่ศิลปินที่สร้างฐานแฟนคลับอันเหนียวแน่นในวงกว้าง เคสที่เห็นได้ชัดก็มาจากนักแสดงซีรีส์วายหลายๆ เรื่องในบ้านเรา ที่ค่อยๆ สร้างชื่อเสียง จนตอนนี้โด่งดังไปถึงระดับนานาชาติแล้ว ไม่ว่าจะเป็น พีพี-บิวกิ้น, เจมิไนน์-โฟร์ท, กลัฟ คณาวุฒิ และอีกหลายคน ถ้าใครนึกชื่อออกก็ช่วยคอมเมนต์เพิ่มเติมใต้โพสต์ให้หน่อยน้าาา ด้านช่อง 3 เอง ด้วยคุณภาพของทรัพยากรนักแสดงที่มีอยู่ หลายคนก็ฉายออร่าศิลปิน T-POP มาให้เห็นบ้างแล้วก่อนหน้า การเทิร์นโปรจาก “นักแสดง” ก้าวสู่คำว่า “ศิลปิน” จึงเป็นอีกหนึ่ง Potential ที่ผู้บริหารช่อง 3 นั้นตั้งเป้าเอาไว้ โดย “คุณดิว” ปิ่นกมล มาลีนนท์ ผู้บริหาร บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าค่ายเพลง BEC MUSIC ถึงจะเป็นค่ายเพลงน้องใหม่ แต่ก็มีศิลปินที่ได้เปิดตัวและมีงานเพลงไปแล้วก่อนหน้าถึง 3 คน การันตีด้วย 5 ซิงเกิ้ลยอดนิยมที่ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากแฟนเพลง   เริ่มตั้งแต่ ปี 2022 “แต้ว ณฐพร เตมีรักษ์” มาพลิกบทบาทครั้งสำคัญ สวมวิญญาณ “ศิลปิน” ปล่อยซิงเกิล “BABYBOO” และ “100%” ปี 2023 “โบว์ เมลดา สุศรี ได้ปล่อยผลงานเพลง “แฟนผมน่ารัก” และเพลง “แนะนำให้เป็นแฟนเรา” ออกมาขยี้ใจคนมีความรักจนกลายเป็นเพลงฮอตฮิตติดชาร์ตในทุกคลื่นวิทยุ และคว้ารางวัลจากเวทีประกาศผลงานเพลงหลากหลายเวที  ปี 2024 ค่ายเพลง BEC MUSIC ได้ตอกย้ำความปังอีกครั้ง โดยนำยูทูบเบอร์สาวที่ควบตำแหน่งนางเอกป้ายแดง “เก๋ไก๋ สไลเดอร์” มาจับไมค์ปล่อยเพลงรัก

Premier League: Super Soft Power แห่งโลกกีฬา

เคยมีคำกล่าวว่า ประเด็นสนทนาที่จะทำให้ชายแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งได้รู้จักกันในเวลาอันสั้นนั้นง่ายนิดเดียว เพียงแค่โยนเรื่องฟุตบอลไปในวงสนทนานั้น เพียงแค่นี้การสนทนาที่เหลือก็ไหลลื่นแล้ว เพราะการเปิดบทสนทนาเรื่องฟุตบอล เป็นวิธีการที่สามารถละลายกำแพงชายแปลกหน้าให้เจรจากันง่ายขึ้น อีกทั้งในขณะเดียวกันยังแสดงถึง “พลังอำนาจ” หรือ “Soft Power” ของโลกลูกหนัง โดยเฉพาะลีกสูงสุดของอังกฤษได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า หากกล่าวกันด้วยเรื่องของฟุตบอล จำนวนมากมักจะนึกถึงทีมในอังกฤษเป็นอันดับแรกก่อนเสมอ แต่กว่าที่ฟุตบอล “พรีเมียร์ลีก” จะกลายมาเป็นหัวข้อสนทนาในชีวิตประจำวันของคนอีกมุมโลก ก็มิได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ทว่าเป็นผลลัพท์มาจากการวางแผน และดำเนินการตามกลยุทธ์ เพื่อให้เกาะอังกฤษมีลีกฟุตบอลมีคุณภาพ ที่สนุกสนาน น่าชม เริ่มตั้งแต่เงินทุนสนับสนุนที่มอบให้แต่ละสโมสรตามขั้นบันได(พิจารณาตามอันดับตารางคะแนน และความสมบูรณ์พร้อมของสโมสรนั้นๆ) กล่าวคือ ยิ่งทีมไหนอยู่อันดับสูงๆ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ก็ยิ่งได้รับเงินส่วนนี้เยอะ โดยตัวเลขในปัจจุบัน แม้แต่ทีมบ๊วยท้ายตารางก็ยังได้รับเงินส่วนนี้อยู่ในหลักร้อยล้านปอนด์ต่อฤดูกาลเลยทีเดียว และแน่นอนว่า เงินส่วนนี้แต่ละสโมสรก็นำไปปรับปรุงพัฒนาภาคส่วนต่างๆ ให้มีคุณภาพยิ่งขึ้นไป ตั้งแต่สนามแข่ง สนามซ้อม โรงยิม ศูนย์ฝึกเยาวชน ฯลฯ และที่สำคัญคือ นักเตะ ซึ่งเปรียบเสมือน ‘สินค้า’ แห่งโลกลูกหนัง และเพื่อให้เกมการแข่งขันตื่นเต้นเร้าใจมากยิ่งขึ้น การนำเข้าแข้งจากต่างชาติ จึงเป็นหนึ่งในวิธีการอันสามารถยกระดับคุณภาพลีกได้  ตัวอย่างเช่น work permit หรือใบอนุญาตทำงาน ซึ่งทางพรีเมียร์ลีกมีการผ่อนปรนมาตรการ ให้นักเตะต่างชาติสามารถเข้ามาค้าแข้งในเมืองผู้ดีได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น กระทั่งล่าสุด สมาคมฟุตบอลอังกฤษอนุญาตให้สโมสรลงทะเบียนนักเตะที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานได้ โดยทีมในพรีเมียร์ลีกได้รับโควตาให้ลงทะเบียนได้มากสุด 4 คน นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในระดับชุมชน ให้เยาวชนในแต่ละพื้นที่ สามารถเข้าถึงการฝึกซ้อมอย่างมีมาตรฐานมากขึ้น และเมื่อฟุตบอลในประเทศเข้มแข็งแล้ว มีคุณภาพแล้ว ต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องการส่งออกสู่นอกประเทศ ซึ่งพรีเมียร์ลีกใส่ใจในเรื่องนี้ตั้งแต่เวลาการแข่งขัน โดยการเลือกเวลาการแข่งขันให้เหมาะสมกับกลุ่มคนดูในต่างประเทศ จะเห็นได้ว่าการแข่งขันที่เกิดขึ้น จะมีตั้งแต่เที่ยงๆ บ่ายๆ จนถึงประมาณสองทุ่มเศษตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเป็นเวลาที่คำนวนมาแล้วว่า แฟนบอลจากอีกซีกโลกยังสามารถรับชมได้โดยที่ไม่ดึกเกินไป หรือแม้แต่การจัดทัวร์ให้สโมสรต่างๆ กระจายไปปรีซีซั่นกันที่ทวีปอื่นๆ โดยมีนโยบายที่ชัดเจน อย่างในเอเชีย ในช่วงแรกมีข้อกำหนดว่า จะต้องมีสโมสรในพรีเมียร์ลีกไปปรีซีซั่นในเอเชียทุกๆ สองปี ซึ่งนั่นรวมไปถึงการสนับสนุนและสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนในต่างแดนด้วย สิ่งนี้ก็ยิ่งเป็นการสร้างความผูกพัน เพิ่มฐานแฟนบอล และยิ่งเป็นการสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อประเทศด้วย เพราะคนจากต่างแดนก็จะมองว่า ประเทศอังกฤษ เป็นประเทศที่ทันสมัย เปิดกว้าง ให้โอกาสแก่ความหลากหลาย และเป็นมืออาชีพ จากเหตุผลประการต่างๆ นี้ ทำให้ “พรีเมียร์ลีก” กลายเป็นเมืองหลวงของโลกลูกหนังที่ใครๆ ก็จะต้องนึกถึงเป็นอันดับแรก และความเข้มแข็งของแบรนด์ดิ้งนี้