Skip links

Food

Tags

‘ชิโอะปัง’ เมนูสุดฮอต ที่ ‘แป้ก’ มาตั้งนาน กว่าจะ ‘ปัง’

“ชิโอะปัง” หรือ “ขนมปังเกลือ” เป็นเมนูที่ถูกพูดถึงในบ้านเรามาสักพักแล้ว ซึ่งบางคนอาจจะเข้าใจผิดว่ามันมาจากเกาหลี แต่ไม่ใช่ เพราะจุดเริ่มต้นมาจากญี่ปุ่นต่างหาก และที่สำคัญ นี่ไม่ใช่เมนูที่ “ปัง” ตั้งแต่เปิดตัว ทว่าใช้เวลาถึง 4 ปี กว่าจะจุดติด จุดเริ่มต้นของชิโอะปัง มาจากฤดูร้อนอันอบอ้าวของญี่ปุ่นเมื่อประมาณปี 2003-2004 ซึ่งแน่นอนว่าอากาศร้อนๆ แบบนี้ คงไม่มีใครอยากเข้าร้านเบเกอรีกันหรอก อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ คุณ Mitoshi Hirata เจ้าของร้านเบเกอรีที่ชื่อ “Pain Maison” ในย่านยาวาตาฮามะ เขาคือผู้รังสรรค์เมนูนี้ในช่วงที่คนบริเวณนั้นหนีไปกินโซเม็งเย็นกับแตงโมเพื่อดับร้อนกันหมด ภาพจาก : Tabi Labo สำหรับสถานการณ์ของร้านเบเกอรี ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ คุณ Hirata จึงถามตัวเองว่า “จะทำยังไงให้คนอยากกินขนมปังในช่วงฤดูร้อน?” คิดไปคิดมา เขาจึงเริ่มจากสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด นั่นก็คือ “เกลือ”  ใช่แล้ว, เขาคิดว่า ร่างกายที่เสียเหงื่อเยอะในหน้าร้อน ถ้ามีขนมปังที่เติมเกลืออย่างพอเหมาะ มันอาจจะเวิร์กก็ได้ พร้อมกันนั้น ลูกชายของเขายังเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ขนมปังฝรั่งเศสรสเค็มกำลังเป็นที่นิยมมาก เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาจึงคิดได้ว่า บางทีขนมปังฝรั่งเศสเหล่านั้นอาจจะแข็งเกินไปสำหรับผู้สูงอายุหรือเด็กๆ ในยาวาตาฮามะ และก็นั่นแหละ พอปิ๊งไอเดียปุ๊บ เขาก็ลงมือทันที เขาเลือกทำขนมปังที่กรอบนอก นุ่มเนย เพราะเขาเลือกใส่เนยเป็นส่วนผสมให้มากขึ้น โดยพยายามไม่คิดถึงเรื่องต้นทุนมากนัก เพราะต่อให้ขาดทุนในช่วงแรก แต่ถ้ามันนำมาซึ่งกำไรได้ในภายหลัง ใครเล่าจะไม่ลองทำ เขาใช้วิธีม้วนแป้งห่อเนยไว้ข้างใน และเมื่อเนยละลาย จะช่วยทำให้ฐานขนมปังมีความกรอบมากขึ้น ส่วนเกลือที่เลือกใช้ หลังจากที่ลองผิดลองถูกอยู่พักหนึ่ง คุณ Hirata ก็พบว่าต้องใช้เกลือที่ไม่ละลายง่ายเวลานำไปอบ และยังต้องเข้ากับเนื้อสัมผัสของแป้งขนมปังได้ดีอีกด้วย ทั้งหมดทั้งมวลมันคือ “ความกลมกล่อม” ซึ่งเขาได้ข้อสรุปที่ “เกลือสินเธาว์” เมื่อค้นพบสูตรที่ลงตัว ต่อมาก็ให้คนใกล้ชิดเป็นผู้ทดสอบ แต่ถึงแม้ชิโอะปัง จะได้เสียงตอบรับที่ดีจากคนรอบตัวคุณ Hirata ทว่าเมื่อวางขายอย่างเป็นทางการ ลูกค้ากลับมองว่ามันเหมือน Butter Roll ที่แพงกว่า 10 เยน ก็เลยไม่มีใครสนใจ พูดง่ายๆ ว่า ขายไม่ค่อยได้ แต่คุณ Hirata ก็ยังมั่นใจในรสชาติ ในเมื่อคนรอบตัวบอกว่าอร่อย

เมื่อ ‘มิชลินไกด์’ กลายเป็น ‘ดาบสองคม’ ที่ใครหลายคนไม่ต้องการ

หากจะกล่าวถึงคัมภีร์ร้านเด็ด หรือลายแทงร้านดัง “มิชลินไกด์” คงจะเป็นสำนักแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง ด้วยระบบการให้ดาว ตั้งแต่ 1-3 ดาว ประหนึ่งการชี้เป้าให้คนรักอาหาร ไปตามล่าของอร่อยอันล้ำเลิศ อีกทั้งยังช่วยการันตีคุณภาพสำหรับผู้ประกอบร้านอาหาร และเป็นคู่มือทางประสบการณ์รับรสของนักเดินทางทั่วโลก ทว่าในระยะหลังมานี้ ความศักดิ์สิทธิ์ของมิชลินไกด์กำลังถูกตั้งคำถามจากหลายฝ่าย ทั้งจากสื่อต่างประเทศ คนในวงการอาหาร เชฟ หรือแม้แต่ผู้บริโภคอย่างเราท่านเองก็ดี เช่นว่า ตามไปลองชิมอาหารในร้านที่ได้มิชลินสตาร์แล้วกลับไม่ถูกปากซะอย่างงั้น ซึ่งก็ไม่แปลกที่รสนิยมการดื่มกินของแต่ละคนจะต่างกันไป ความชื่นชอบย่อมนานาจิตตัง แต่เอาเข้าจริง ปัญหาของเรื่องนี้มันไม่ได้มีแค่นั้น เพราะมีหลายประเด็นที่ถูกหยิบยกมาถกเถียงกันในวงกว้าง โดยประเด็นหลักที่ต้องเกริ่นนำก่อนเลยก็คือ “ความไม่โปร่งใส” โดยข้อเท็จจริงคือ มิชลินไกด์เป็นธุรกิจขาหนึ่งในสังกัด Michelin Travel Partner ของ Michelin Group โดยรายได้หลักส่วนหนึ่งมาจากค่าธรรมเนียม/เงินสนับสนุน ที่หน่วยงานต่างๆ จ่ายให้เพื่อจัดทำคู่มือการท่องเที่ยวทางรสชาติของประเทศนั้นๆ ซึ่งทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความเป็นอิสระและความเป็นกลางต่อการประกาศผล ตัวอย่างเช่น เกาหลีใต้ ที่เคยจ่ายเงินไปประมาณ 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อจัดทำมิชลินไกด์ของประเทศ นำมาสู่การวิพากษ์วิจารณ์ถึงร้านอาหารที่ได้สามดาวว่าคู่ควรแล้วหรือไม่ ทั้งยังมีการตั้งคำถามว่า ในเบื้องหลังนั้น ฝ่ายส่วนกลางเกาหลีได้ชี้นำแนวทางการคัดเลือกด้วยหรือเปล่า เพราะข้อสังเกตคือ ร้านอาหารที่ได้ดาวมักจะเป็นร้านอาหารเกาหลีที่ถูกปากคนต่างชาติ มากกว่าจะถูกปากคนเกาหลีด้วยกันเอง ราวกับว่าภาครัฐต้องการสร้างรสชาติมายาเพื่อผลประโยชน์ทางภาพลักษณ์และการท่องเที่ยว มากกว่าจะเป็นการให้เกียรติแก่รสชาติอาหารเกาหลีที่แท้จริง อะไรทำนองนั้น กรณีนี้เกิดขึ้นในหลายประเทศ ส่วนประเทศไทยเราเองก็มีการจ่ายเงินเพื่อสิ่งนี้มาตั้งแต่ปี 2018 แล้วเช่นกัน จำนวนเงินกว่า 140 ล้านบาท ในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งทำสัญญามาแล้วสองฉบับ แน่นอนว่ารางวัลประเภทนี้เป็นผลดีต่อการท่องเที่ยวไทย แต่ข้อครหาที่เกิดขึ้นในต่างชาติก็เป็นสิ่งที่พึงพิจารณาเช่นกัน กระนั้นก็ตาม แม้บรรดาผู้วิจารณ์จะค่อนขอดในความสัมพันธ์ทางการเงินดังกล่าว แต่ทางมิชลินยังยืนกรานว่าการคัดเลือกยังคงเป็นอิสระ เรื่องนี้ไม่ได้กระทบต่อความเป็นกลางแต่อย่างใด ผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็คงต้องใช้วิจารณญาณกันต่อไป แต่ไม่จบแค่นั้น ประเด็นนี้ยังเชื่อมโยงไปถึงเรื่อง “การมองยุโรปเป็นศูนย์กลาง (Eurocentric)” กล่าวคือ มิชลินไกด์ เป็นส่วนหนึ่งของการสถาปนาวัฒนธรรมการกินชั้นสูง โดยใช้มาตรฐานมุมมองจากฝั่งยุโรปเป็นหลัก เพราะหลายครั้งมีการตั้งคำถามถึงความเข้าใจในวัฒนธรรมการดื่มกินของภูมิภาคอื่นๆ ที่เกณฑ์การวัดผลของมิชลินยังไม่กว้างขวางและลุ่มลึกเพียงพอจะประเมินคุณค่าของเมนูอาหารนั้นๆ ผลที่ออกมาจึงมักผ่านประสบการณ์อันมีศูนย์กลางอยู่ทางยุโรปมากกว่าจะเป็นการเข้าใจวัฒนธรรม ณ ที่นั้นๆ อย่างถ่องแท้หรือไม่? สิ่งที่ตามมาอีกเรื่องก็คือ ร้านอาหารที่ได้มิชลินสตาร์ ส่วนมากจึงเป็นร้านอาหาร หรือภัตตาคารระดับสูงเพื่อผู้มีอันจะกินเป็นส่วนใหญ่ และคงต้องกล่าวว่า ร้านอาหารระดับนี้ไม่ค่อยสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันสักเท่าไหร่นัก พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ลูกค้าที่มีศักยภาพจำนวนมากยุ่งขึ้น จึงเลือกรับประทานอาหารแบบรวดเร็ว มากกว่าจะใช้เวลานานๆ ไปกับมื้ออาหารตามแบบฉบับร้านที่ได้ครอบครองดาวศักดิ์สิทธิ์จากมิชลิน

สายบุญเตรียมตัวให้พร้อม ประเพณีถือศีลกินผัก จ.ภูเก็ต เริ่ม 3-11 ตุลาคม นี้

สายบุญเตรียมตัวให้พร้อม ประเพณีถือศีลกินผัก จ.ภูเก็ต เริ่ม 3-11 ตุลาคม นี้ เทศกาลแห่งการชำระจิตใจและร่างกาย ตามรอยศรัทธา สืบทอดประเพณี  ประเพณีถือศีลกินผัก จ. ภูเก็ต เทศกาลถือศีลชำระล้างจิตใจและร่างกายเปี่ยมด้วยแรงศรัทธาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยเวียนมาถึงอีกครั้งในปีนี้ พร้อมให้นักเดินทางทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์แบบเต็มอิ่ม 9 วัน 9 คืน ระหว่างวันที่ 3-11 ตุลาคม 2567  สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ขอเชิญชวนนักเดินทางร่วมชำระล้างร่างกายและจิตใจ ในประเพณีสำคัญของจังหวัดภูเก็ตอย่าง “ประเพณีถือศีลกินผัก” หรือ เจี๊ยะฉ่าย ซึ่งตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนของทุกปี โดยปีนี้จัดขึ้นในวันที่ 3 – 11 ตุลาคม 2567 เป็นงานที่มีความหลากหลายในทุกมิติ ทั้งด้านความเชื่อ ความศรัทธา ประเพณีเก่าแก่ มนต์เสน่ห์ของอาหารที่สร้างสรรค์ และกิจกรรมจากอ๊ามทั่วเกาะภูเก็ต  โดยปี 2566 ที่ผ่านมา มีผู้เดินทางเข้าร่วมประเพณีนี้กว่า 650,000 คน โดยทีเส็บมีเป้าหมายในการยกระดับงานให้เป็นงานเทศกาลระดับนานาชาติ เพื่อให้ “ประเพณีถือศีลกินผัก จ.ภูเก็ต” เป็นจุดหมายสำหรับกลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่ หากพูดถึงเทศกาลกินเจ ภูเก็ตจะเป็นชื่อที่ทุกคนนึกถึงในอันดับต้นๆ เป็นเพราะภูเก็ตจัดประเพณี  “ถือศีลกินผัก” หรือ “เจี๊ยะฉ่าย” ได้อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งในด้านการถือศีลชำระล้างจิตใจและร่างกายให้สะอาด บริสุทธิ์ โดยตลอด 9 วัน 9 คืนระหว่างประเพณีถือศีลกินผัก ผู้เข้าร่วมงานไม่เพียงแต่จะได้ถือศีลละเว้นจากเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่ยังมีโอกาสได้เข้าร่วมพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์และขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม และความเชื่อดั้งเดิมที่ยังคงได้รับการสืบทอดอย่างต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่น เริ่มตั้งแต่ “พิธีอิ้วเก้ง” หรือ “แห่พระรอบเมือง” เป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละศาลเจ้าที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาช้านาน เป็นการออกเยี่ยมขององค์กิ้วอ๋องไต่เต่เพื่ออวยพรให้กับประชาชนทั่วไป โดยชาวบ้านจะตั้งโต๊ะบูชาหน้าบ้านเรือนและคุกเข่าอยู่ในอาการสงบนิ่งเพื่อรับพร จากองค์กิ้วอ๋องไต่เต่ขณะที่ขบวนแห่ผ่านไป                 พิธีที่สอง คือ “พิธีโก้ยโห้ย”

จากผู้พัน สู่โครงการเพื่อเด็กนอกกรอบ KFC Bucket Search จับมือ กสศ. สร้างวิชานอกระบบ

ถ้าไม่มีผู้พันแซนเดอร์ส ก็จะไม่มี KFC และโลกที่ไม่มี KFC ก็คงจะเป็นโลกที่มีความสุขลดลง เพราะแบรนด์ KFC กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขในวันพิเศษ ที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคน โดยเฉพาะเด็กๆ ทั่วโลก . เนื้อหาข้างต้นนี้เกิดขึ้นในงานแถลงข่าว KFC Bucket Search อย่างไรก็ดี โลกที่ไม่มี KFC ก็เกือบจะเกิดขึ้นแล้ว เนื่องเพราะผู้พันแซนเดอร์ส ต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆ ที่เกี่ยวพันกันยุ่งเหยิง ตั้งแต่ 6 ขวบ ครอบครัวก็ต้องมาเสียคุณพ่อ และแม้ว่าเขาจะมีฝีมือการทำอาหาร ถึงขนาดที่เคยชนะการแข่งขันทำอาหารประจำหมู่บ้านมาแล้วในวัย 7 ขวบ แต่ศักยภาพนี้ก็ไม่ถูกนำมาต่อยอด เนื่องจากเขาต้องออกจากโรงเรียน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายที่บ้าน และเด็กชายแซนเดอร์สก็ต้องไปหางานทำตั้งแต่วัยเยาว์ . โดยกว่าที่ ‘เด็กชายแซนเดอร์ส’ จะกลายมาเป็น ‘ผู้พันแซนเดอร์ส’ อย่างที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ ก็ปาไปค่อนชีวิตแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น กว่าจะเรียกได้อย่างเต็มปากว่าธุรกิจไก่ทอดของเขาประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง ก็เข้าสู่วัยเกษียณแล้วด้วยซ้ำ . เห็นได้ชัดว่า “ปัญหาครอบครัว-ความยากจน-การศึกษา” สามปัญหานี้ เป็นคนละเรื่องเดียวกันอย่างแยกไม่ออก และยังเป็นสิ่งที่ฉุดคร่าชะตาชีวิตของคนๆ หนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย แต่กระนั้นก็ตาม ยังมีอีกหลายรายที่ประสบกับภาวะดังกล่าว แต่ทว่าไม่มีโอกาสที่ศักยภาพนั้นๆ ถูกนำมาต่อยอด ถึงที่สุดแล้ว ชะตากรรมแห่งชีวิตก็พรากโอกาสเหล่านั้นไปอย่างน่าเศร้า . เรื่องราวข้างต้น นับว่าเป็นแรงบันดาลใจให้แก่หลายชีวิต ซึ่งกำลังต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามา . ด้วยเหตุนี้ KFC ประเทศไทย จึงได้ร่วมมือกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) สร้างหลักสูตรการเรียนที่มีความยืดหยุ่นและตอบโจทย์ชีวิตเด็ก เฉพาะยิ่งกับเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา โดยข้อมูลจาก กสศ. ระบุว่า ในปัจจุบัน มีเยาวชนที่ไม่พบข้อมูลในฐานการศึกษาอยู่กว่า 1.02 ล้านคน . ทั้งนี้ ภัทรา ภัทรสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายบริหารแบรนด์ เคเอฟซี ประเทศไทย ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของโครงการนี้ไว้ว่า . “เราร่วมมือกับ กสศ. เพื่อค้นหาศักยภาพที่หายไป ทำให้เขาเชื่อมั่นในศักยภาพของเขา ให้น้องๆ ค้นพบตัวเอง เป็น Believe ของแบรนด์ เพราะหลายคนมาทำงานที่นี่ แล้วก็ออกไปเปิดร้านเอง เราเลยอยากเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กๆ เพราะหลักสูตร

เอาอีกแล้ว Jamie Oliver นึกสนุกแจกสูตร “ผัดไทยมังสวิรัต” จะเรียกว่าผัดไทยได้ไหมเนี่ย ?!

หลังคราวก่อน Jamie Oliver – เชฟและเจ้าของภัตตาคารชาวอังกฤษเลื่องชื่อเรื่องการดัดแปลงอาหารไทยสูตรใหม่ เคยแปลงสูตรข้าวผัดใส่แยมพริกและแกงเขียวหวานกลายเป็นสมูทตี้ไปแล้ว . คราวนี้ถึงคิว “ผัดไทย” อีกหนึ่งเมนูยอดฮิตของไทยที่ชาวต่างชาติชื่นชอบก็ถูก Jamie Oliver นึกสนุกแปลงโฉม “ผัดไทย” ให้กลายเป็น “ผัดไทยมังสวิรัต” แต่สูตรมันดูแปลกๆ ยังไงชอบกล จน Uncle Roger จากช่อง mrnigelng – ยูทูปเบอร์สายรีแอควิดีโออาหารเอเชียคู่ปรับ Jamie Oliver เจ้าเก่าเจ้าเดิมแทบทนดูไม่ได้ เอ่ยปากแซวว่าตอนทำผัดไทยจานนี้เสร็จว่าสิ่งที่ Jamie Oliver ควรทำมากที่สุด คือการบินมาไทยและขอโทษคนไทยซะ . เพราะตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงวิธีการทำไม่ตรงกับภาพผัดไทยที่เคยเห็นหรือเคยกินมาตั้งแต่เด็ก แม้จะขึ้นชื่อว่ามังสวิรัต แต่นี่ก็ดูท่าจะไกลจากคำว่าผัดไทยเกินไป ไม่ว่าจะเป็น การนำ ‘เต้าหู้อ่อนมาบด’ เพื่อทำซอสผัดไทย จากนั้นปรุงรสด้วยมะขามเปียก ซอสถั่วเหลือง น้ำมันงา น้ำจิ้มไก่ (?) . จากนั้นนำไปผัดกับบร็อคโคลี หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน กวางตุ้งฮ่องเต้ ถั่วงอก และผักกาดขาว เพิ่มสัมผัสกรุบกรอบและความสดชื่น (?) ให้แก่ผัดไทยมังสวิรัตจานนี้ … ในโลกของการทำอาหาร การปรับสูตรอาหารให้ถูกปากและถูกใจผู้คนในพื้นที่จะเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือการรักษาหัวใจหลักของอาหารให้คงไว้ ซึ่งการทำผัดไทยสูตรมังสวิรัต Uncle Roger เสนอว่าหากจะเลี่ยงการใช้วัตถุดิบที่มีสัตว์เป็นส่วนผสมอย่างน้ำปลาหรือกุ้งแห้ง แค่เปลี่ยนไปใช้น้ำปลามังสวิรัต หรือเห็ดแทนก็น่าจะเพียงพอแล้ว . การรังสรรค์สูตรใหม่ แถมยังแต่งเติมวัตถุดิบมากหน้าหลายตาเข้ามา จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม จะยังเรียกอาหารจานนี้ว่าผัดไทยได้อยู่ไหม? หรือมีใครอยากลองบ้าง … อ้างอิง JAMIE OLIVER’S WORST RECIPE YET (Veggie Pad Thai) https://www.youtube.com/watch?v=ZmmSl6WpyJM&t=661s  

‘𝐁𝐮𝐭𝐭𝐞𝐫𝐛𝐞𝐚𝐫’ ดาราสาวคนใหม่ ขวัญใจชาวเน็ต!

ต่อจากลาบูบู้ ก็มีน้องหมีเนย (Butter Bear) นี่แหละที่ทำเอาชาวเน็ตทั้งไทยและต่างชาติต้องมาต่อแถวรอเข้าคิวถ่ายรูปกับน้อง โดยเฉพาะแม่ๆชาวจีนที่ดูจะชื่นชอบน้องเป็นพิเศษ กวาดพื้นที่ถ่ายรูปและสินค้าอื่นๆจากทางแบรนด์ไปเกินครึ่ง จนแบรนด์ต้องออกตารางโชว์ตัว ทั้งภาษาไทยและภาษาจีนให้แฟนๆ มารอต้อนรับ . น้องหมีเนย (Butter Bear)  เดบิวต์ด้วยตำแหน่งมาสคอตประจำแบรนด์ขนมหวาน ‘Butterbear’ ของร้านขนมชื่อดัง Coffee Beans by Dao ซึ่งดีไซน์โดย ‘Lalalhuay’ นักวาดภาพประกอบไทยสายอาหารลายเส้นอบอุ่นที่ออกแบบน้องหมีให้มาคอยเสิร์ฟความอร่อยให้ลูกค้า . แต่ตอนนี้ นอกจากน้องหมีเนยจะคอยเสิร์ฟความอร่อยแล้ว น้องยังกลายเป็น ไอดอลสาวน้องใหม่ที่น่าจับตามอง เพราะไม่ว่าจะขยับตัวกี่ครั้ง หรือเต้นเพลงไหน ก็มีแต่คำว่าน่ารัก นุ่มนิ่ม นุ้บนิ้บเต็มไปหมด … สามารถติดตามความน่ารักและตารางโชว์ตัวของน้อง Butterbear ได้ที่ IG : butterbear.th https://www.instagram.com/butterbear.th/ … สามารถติดตามผลงานอื่นๆของนักวาดภาพประกอบได้ที่ IG : Lalalhuay https://www.instagram.com/lalalhuay/  

30 เมษายน วันชานมไข่มุกแห่งชาติ ย้อนรอยยุทธศาสตร์เครื่องดื่มหวานร้อย

ชานมไข่มุก เครื่องดื่มเพิ่มน้ำตาลในเลือดขวัญใจชาวเราที่ต้องดื่มทุกวันเหมือนเป็นอวัยวะที่ 34 แต่เคยสงสัยกันไหมว่า ใครกันที่สรรสร้างสวรรค์ในรูปแบบเครื่องดื่มหวานร้อยลูกกลมๆ แบบนี้ขึ้น แน่นอนว่าจากชื่อก็พอจะรู้ว่าต้นกำเนิดมากจากไต้หวัน แต่ในสมัยก่อน ยังไม่มีความสำคัญเรื่องการจดลิขสิทธิ์ ทำให้ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ริเริ่ม แต่ก็มีเรื่องเล่ายอดนิยมอยู่ 2 เรื่อง   เรื่องเล่าแรก เกิดขึ้นในปี 1986 ที่ร้านชา ฮันหลิน เมืองไถหนาน โดยถัวซ่งเหอ-เจ้าของร้าน นำแป้งมันสัมปะหลังเชื่อมน้ำตาล ลักษณะคล้ายสาคู ซึ่งเป็นขนมหวานไต้หวันใส่ลงไปในชา เกิดเป็นเมนูชาไข่มุกขึ้นในที่สุด   อีกเรื่องเล่าหนึ่ง เกิดขึ้นในปี 1988 ที่ร้านชาชุน ฉุ่ย ถัง เมืองไถจง โดยในส่วนของชา หลิว ฮั่นฉี-เจ้าของร้าน เดินทางไปญี่ปุ่นแล้วเห็นการดื่มชาและกาแฟแบบเย็น จึงกลับมาเปิดร้านชาร้านนี้ เพื่อขาย ชาเย็น บ้าง เพราะเดิมที ไต้หวันนิยมดื่มเพียงชาร้อนเท่านั้น ต่อมาขณะที่ หลินชิ่วฮุย-ผู้จัดการผลิตภัณฑ์กำลังประชุมอยู่ที่ร้าน รู้สึกเบื่อ จึงเท “เฟิ่นเหยียน” ขนมหวานของไต้หวันที่ทำจากแป้งมัน ลักษณะคล้ายขนมโมจิ ลงไปในชา เมื่อลองกินแล้วพบว่าอร่อย จากนั้น ทดลองทำแจกให้พนักงานชิมก่อนจะขายเมนูนี้ในที่สุด ทำให้เมนูนี้กลายเป็นเมนูยอดนิยมของพื้นที่นี้   ไม่ว่าเรื่องเล่าใดจะจริงแท้หาใช่เรื่องสำคัญ ตอนนี้ชานมไข่มุกนั้นได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่นิยมไปทั่วโลก เกิดธุรกิจแบรนด์ชานมไข่มุกที่กระจายตัวอยู่ทุกพื้นที่ในเอเชียและยุโรป ในช่วง 1990 แต่ก็ซบเซาลง ด้วยกระแสเครื่องดื่มที่เกิดขึ้นต่อมา กระทั่งในปี 2016 ไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีหญิงคนแรกของไต้หวันผลักดันนโยบาย New Southbound Policy เที่ยวไต้หวันฟรีวีซ่า พร้อมส่งเสริมให้ “ชานมไข่มุก” เป็นเครื่องดื่มประจำชาติที่ต้องลอง ต่อมาในปี 2017-2018 นโยบายเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น รัฐบาลจึงเริ่มหยิบชานมไข่มุกของร้านฮันหลินมาเสิร์ฟเลี้ยงรับรองแขกของรัฐบาลจากทั่วโลก ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวไต้หวัน สายการบินแห่งชาติไต้หวันอย่าง EVA หรือ China Airlines ผู้ที่มาท่องเที่ยวไต้หวันมักมีโอกาสได้ชิมรสชาติชานมไข่มุกแบบไต้หวัน ในกรุงไทเประหว่างการพักต่อเครื่องที่สนามบินไทเปเถาหยวน   ส่วนภาคเอกชนก็มีการตอบรับนโยบายชานมไข่มุกนี้ด้วยเช่นกัน ทำให้ในช่วงนั้นเราจะเห็นได้ว่าตามท้องตลาดเต็มไปด้วยสินค้ารูป รส กลิ่น ชานมไข่มุกออกมาจำนวนมาก กลายเป็นกระแสชานมไข่มุกฟีเวอร์หนักถึงขั้นมีกะเพราชานมไข่มุก คั่วไก่ไข่มุก ก๋วยเตี๋ยวไข่มุก พิซซ่าไข่มุก ลูกอมไข่มุก และอื่นๆ อีกมาก

อากาศโคตรร้อน แต่ทำไมคนไทยไม่กิน “อาหารเย็น”!?

คนไทยไม่กินอาหารเย็น ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง อาหารในมื้อเย็น เพื่ออดอาหารลดน้ำหนักแบบ IF แต่อาหารเย็นที่เราจะพูดถึงเป็นอาหารเย็นที่อุณหภูมิ เพราะ ถ้าไม่นับอาหารว่างอย่าง “ข้าวแช่” และ “แตงโมปลาแห้ง” ที่เป็นพระเอกประจำฤดูนี้ รวมถึงขนมหวานคลายร้อนอื่นๆ อย่างข้าวเหนียวมะม่วง ผลไม้ลอยแก้วแล้ว ไทยก็แทบจะไม่มี “เมนูคาว” ที่ทานแบบ “เย็นๆ” เพื่อดับร้อนเลย เมื่อพูดถึงอาหารคาวที่ต้องทานแบบเย็นๆ ในหน้าร้อน เท่าที่ทราบทางฝั่งจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีจะมีเมนู “หมี่เย็น” ที่เป็นเมนูอาหารจานหลักประจำหน้าร้อน โดยจะนำเส้นหมี่ต้มสุกไปผ่านน้ำเย็น จากนั้นนำไปคลุกซอส หรือปรุงรสเพิ่มเล็กน้อย เพื่อความกลมกล่อม   เมนู “หมี่เย็น” ในจีนจะเรียกว่า “เหลียงเมี่ยน” เล่ากันว่า ในสมัยราชวงศ์ถัง พระนางบูเช็คเทียน จักรพรรดินีเพียงองค์เดียวของจีน ในวัย 14 ปี มีเพื่อนสนิทชายคนหนึ่งชื่อ “เจี้ยนเฟิง” ทั้งสองมักจะเที่ยวเล่นบริเวณริมน้ำและแวะพักกินบะหมี่ที่ร้านในละแวกนั้น จนวันหนึ่งในฤดูร้อน ทั้งสองอยากกิน “หมี่เย็น” จึงลองเสนอให้เจ้าของร้านลองทำ จนออกมาเป็น”หมี่เย็นคู่สามีภรรยา” แม้ทั้งสองจะไม่ได้เป็นสามีภรรยากันจริง แต่พ่อครัวหลวงก็ถูกรับสั่งให้ถวายหมี่เย็น “ต้นตำรับจักรพรรดินี” ให้พระนางในวันคล้ายวันพระราชสมภพของทุกปี วัฒนธรรมการกินอาหารประเภทเส้นจากจีนเดินทางไปยัง ญี่ปุ่น ตั้งแต่ยุคนารา-ยุคเฮอัน ซึ่งตรงกับราชวงศ์ถังของจีน โดยในช่วงแรกเป็นอาหารที่กินกันเฉพาะโอกาสพิเศษในวัง กว่าจะได้รับความนิยมทั่วญี่ปุ่นก็อยู่ในยุคเอโดะแล้ว จนเกิดเป็นเมนูโซเมง โซบะ อุด้ง ที่นิยมนำมาใส่น้ำแข็งทานในปัจจุบัน   ส่วนทางเกาหลีใต้ก็มีเมนูหมี่เย็น ชื่อว่า “แน็งมย็อน” โดยเอกสารสมัยศตวรรษที่ 19 ระบุว่า แน็งมย็อน ได้รับอิทธิพลมาจากเมนูอาหารเกาหลีเหนือชื่อ “แร็งมย็อน” ซึ่งเมนูนี้ปรากฎในเกาหลีใต้มาตั้งแต่สมัยโชซ็อน แต่มาได้รับความนิยมทั่วคาบสมุทรเกาหลี หลังเกิดสงครามเกาหลีขึ้น เดิมที “แน็งมย็อน” เป็นเมนูสำหรับฤดูหนาว เนื่องจากตัวเส้นหมี่ ทำมาจาก “บักวีต” ซึ่งเหมาะแก่การทานในอุณหภูมิเย็นมากกว่า เพราะจะช่วยให้เส้นเหนียวนุ่มมากขึ้น แต่ในปัจจุบัน แน็งมย็อน ได้รับความนิยมในช่วงหน้าร้อนด้วย โดยการใส่น้ำแข็งแทนเช่นกันกับญี่ปุ่น   จะเห็นได้ว่า อาหาร เป็นสิ่งที่โยงใยกับวัฒนธรรม เมนูอาหารเย็นทั้ง ข้าวแช่ และ หมี่เย็น จึงเป็นการนำเอกลักษณ์ประจำถิ่นที่กินกันเป็นประจำอย่าง เส้น
Tags

ทั้งเผ็ดทั้งชา “หม่าล่า ฟีเวอร์” กระแสนี้ดังในไทยเพราะอะไร?

สำหรับคนที่ชื่นชอบอาหารรสชาติจัดจ้าน เผ็ดซ่า ชาถึงปลายลิ้นคงต้องรู้จักกันดีถึงอาหารประเภทปิ้งย่าง ชาบู สุกี้ หม้อไฟ และอื่นๆ แล้ว เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก “หม่าล่า” ที่มีรสชาติเผ็ดร้อนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ก็มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่รู้จักและไม่ทราบว่า “หม่าล่า” คืออะไร? มาจากไหน? ยิ่งไปกว่านั้นบางคนอาจจะยังไม่เคยได้ลองลิ้มชิมรสชาติที่ว่านี้กันเลย    อันที่จริงแล้ว “หม่าล่า” ไม่ใช่ชื่ออาหาร แต่เป็นรสชาติอาหารของมณฑลเสฉวน ประเทศจีน โดยมาจากการประสมคำของอักษรจีนสองตัว คือ “หม่า” 麻(má)แปลว่า “ชา” กับ “ล่า” 辣 (là) แปลว่า “เผ็ด” สื่อถึงความรู้สึกเผ็ดชา โดยมีสาเหตุมาจากเครื่องเทศชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า “ฮวาเจียว” (花椒) หรือพริกไทยเสฉวน (Sichuan Pepper) ซึ่งมีลักษณะคล้ายพริกไทยดำ หรือมะแขว่นของบ้านเรา โดย “ฮวาเจียว” ยังถือเป็นเครื่องเทศที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาหารเสฉวนแทบจะไม่มีอาหารจานไหนที่ไม่มี “ฮวาเจียว” เป็นส่วนประกอบในการปรุงรส ตั้งแต่อาหารจำพวกหม้อไฟ จนไปถึงผัด ต้ม ตุ๋น ซุป และยังสามารถนำมาโรยบนเนื้อสัตว์ เต้าหู้ หรือมันฝรั่งหลังจากที่ปรุงสุกแล้ว เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมได้อีกด้วย   “ฮวาเจียว” ที่นำมาใช้ประกอบอาหารหลักๆ มีสองสีคือ สีเขียวและสีแดง สีเขียวเหมาะกับการปรุงอาหารประเภทต้ม หรือนึ่ง ขณะที่สีแดงเหมาะกับการปรุงอาหารประเภทปิ้งย่าง สามารถใส่ทั้งเม็ด หรือนำไปบดให้ละเอียดก่อนนำมาปรุงอาหารก็ได้ โดยมีสารที่ออกฤทธิ์กระตุ้นให้ปุ่มรับรสบนลิ้นเกิดอาการชาลิ้น ความร้อนมีผลทำให้รสเผ็ดและชาเพิ่มมากขึ้น และยังมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่ทำให้อาหารจานนั้นมีรสชาติที่มีเสน่ห์มากขึ้น เพราะแท้ที่จริงแล้วลิ้นของเราสามารถรับรู้รสได้เพียง 4 รสคือ ขม เปรี้ยว เค็ม และหวาน โดยที่ลิ้นจะมีปุ่มรับรสเล็กๆ ที่เรียกว่า “ปาปิลา” (Papilla) ความเผ็ดจึงไม่ใช่รสชาติ แต่เป็นความรู้สึกที่เกิดจากสารชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า “แคปไซซิน” (Capsaicin) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในพริก   สำหรับความฮอตฮิตของ “หม่าล่า”ในบ้านเรา ช่วงต้นๆ มีการแพร่หลายอย่างมากทางภาคเหนือของไทย โดยจังหวัดเชียงใหม่ถือเป็นจังหวัดแรกๆ ที่รับวัฒนธรรมการกิน “หม่าล่า” เข้ามาและมีจำนวนร้าน “หม่าล่า” มากที่สุดในประเทศไทย โดยส่วนใหญ่เป็นในรูปแบบของปิ้งย่างเสียมากกว่า จนในปัจจุบัน “หม่าล่า”
Tags

สวัสดีอ็อกซ์ฟอร์ด! เราชื่อ Pad Thai

ดังใหญ่แล้วนะ เมนูสตรีทฟู้ด “ผัดไทย” บ้านเรา ที่เราคุ้นชินและลิ้มรสกันบ่อยครั้งตั้งแต่เด็กจนโต ก็ไม่นึกว่าจะมีชื่อเสียงความอร่อยโด่งดังไปทั่วโลก ถึงขนาดที่ เว็บไซต์ Oxford Dictionaries ต้องใส่ชื่อ “pad thai” (ผัดไทย) ลงไปในฐานข้อมูลว่า คำๆ นี้ มันควรค่าที่จะเป็นคำสากลที่ทั่วโลกต้องรู้จัก เทียบชั้นกับ Pizza จากอิตาลีเชียวนะแก คำว่า pad thai นี้ จัดอยู่ในหมวด C2 ซึ่งหมายถึงหมวดศัพท์ทั่วไปที่ถูกบัญญัติ ใช้เพื่อแสดงให้รู้ถึงแหล่งที่มาต้นกำเนิด หรือพื้นถิ่นของสิ่งๆ นั้น ซึ่งมีความหมายว่า “เป็นเมนูอาหารแบบเส้นจากประเทศไทย ทำมาจากข้าว เครื่องปรุงต่างๆ ไข่ ผัก เนื้อสัตว์หรืออาหารทะเล” “a dish from Thailand made with a type of noodles made from rice, spices, egg, vegetables and sometimes meat or seafood” หากเราย้อนไปดูที่มาว่าอาหารเมนูนี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ก็ต้องย้อนไปช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อิทธิพลจากจีนได้แผ่ขยายมายังประเทศไทย โดยเฉพาะเมนู ก๋วยเตี๋ยว ที่เริ่มได้รับความนิยมในสังคมช่วงนั้นเป็นอย่างมาก ในยุคข้าวยากหมากแพง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้หันมารณรงค์ให้ประชาชนรับประทาน ก๋วยเตี๋ยว กันมากขึ้น เพื่อลดคอสต์การบริโภคข้าวภายในประเทศ ด้วยข้อความดังนี้ “อยากให้พี่น้องกินก๋วยเตี๋ยวให้ทั่วกัน เพราะก๋วยเตี๋ยวมีประโยชน์ต่อร่างกาย มีรสเปรี้ยว เค็ม หวานพร้อม ทำเองได้ในประเทศไทย หาได้สะดวกและอร่อยด้วย หากพี่น้องชาวไทยกินก๋วยเตี๋ยวคนละหนึ่งชามทุกวัน วันหนึ่งจะมีคนกินก๋วยเตี๋ยวสิบแปดล้านชาม ตกลงวันหนึ่งค่าก๋วยเตี๋ยวของชาติไทยหนึ่งวันเท่ากับเก้าสิบล้านสตางค์เท่ากับเก้าแสนบาท เป็นจำนวนเงินหมุนเวียนมากพอ ใช้เงินเก้าแสนบาทนั้นก็จะไหลไปสู่ชาวไร่ ชาวนา ชาวทะเลทั่วกัน ไม่ตกไปอยู่ในมือใครคนหนึ่งคนใดเพียงคนเดียว และเงินหนึ่งบาทก็มีราคาหนึ่งบาท ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เสมอ ไม่ใช่ซื้ออะไรก็ไม่ได้เหมือนอย่างทุกวันนี้ซึ่งเท่ากับไม่มีประโยชน์เต็มที่ในค่าของเงิน” เมื่อมีการสนับสนุนให้กินก๋วยเตี๋ยวแทนข้าวกันอย่างบ้าคลั่ง ก็ก่อให้เกิดการ ดัดแปลง และรังสรรค์เมนูใหม่ๆ จากวัตถุดิบเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วยการนำมาลองผัด ใส่กุ้งแห้งแทนหมู เพราะจะดูเป็นผัดซีอิ๊วซึ่งจะทำให้เหมือนอาหารจีนมากเกินไป ตามด้วยเต้าหู้เหลือง มะนาว ใบกระเทียม หัวปลี ถั่วงอก เกิดเป็นเมนู “ก๋วยเตี๋ยวผัด” ,