Skip links

Thailand Soft Power

คิง เพาเวอร์ เฉลิมฉลองวันมหาสงกรานต์สุดคึกคัก ในงาน “อภิมหาสงกรานต์รางน้ำ มโหฬาร มหาสนุก” ยกทุก BEACH! สนุกสุดขีดให้โลกจำ

พบกับขบวนพาเหรดสุดยิ่งใหญ่จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-รางน้ำ นำโดย อาโป-ณัฐวิญญ์, วิน-เมธวิน, ต้าห์อู๋-พิทยา และออฟโรด-กันตภณ
Tags

คิง เพาเวอร์ “อภิมหาสงกรานต์รางน้ำ มโหฬาร มหาสนุก” จัดเต็มกับอภิมหาความบันเทิงตลอด 6 วันเต็ม เริ่มวันนี้ – 15 เม.ย. นี้

(10 เมษายน 2568) กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย – กทม. – ททท. และ ชุมชนย่านรางน้ำ ยกระดับความสนุกสุดขีด ชวนปักหมุดเทศกาลสงกรานต์ ที่งาน “อภิมหาสงกรานต์รางน้ำ มโหฬาร มหาสนุก” ยกทุก BEACH! สนุกสุดขีดให้โลกจำ คิกออฟเทศกาลสงกรานต์กับพิธีเปิดงานสุดยิ่งใหญ่ โดยได้รับเกียรติจาก คุณแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน  พร้อมร่วมชมขบวนพาเหรด จากศิลปินและนักแสดงสุดฮอตแห่งปี เจฟ-วรกมล ซาเตอร์, หลิงหลิง-ศิริลักษณ์ คอง, ออม-กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์ และ เอม-สรรเพชญ์ คุณากร นำทัพขบวนความสนุกสุดหรรษาท่ามกลางกิจกรรมไฮไลต์ ที่ต้องมา “สาด เต้น เล่น กิน ช้อป สนุกสุดขีดให้โลกจำ” ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พบกับ โปรโมชันจัดเต็ม และกิจกรรมอัดแน่นตลอด 6 วัน เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 15 เม.ย. 2568 ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ  เริ่มแล้วงาน “อภิมหาสงกรานต์ รางน้ำ มโหฬาร มหาสนุก” ยกทุก BEACH! สนุกสุดขีดให้โลกจำ โดยความร่วมมือของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กระทรวงมหาดไทย, กรุงเทพมหานคร, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และชุมชนย่านรางน้ำ กำหนดจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 – 15 เม.ย. 2568 ณ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมทั้งสร้างสีสันความสนุกให้กับช่วงเทศกาลของไทยให้ยิ่งใหญ่คึกคักสู่สายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก พร้อมผลักดันให้ย่านรางน้ำก้าวสู่การเป็น GLOBAL FESTIVALISATION เดสติเนชั่นแห่งการเฉลิมฉลองในทุกเทศกาล ตอกย้ำย่านรางน้ำเป็นแลนด์มาร์กสำหรับการเล่นน้ำสงกรานต์  โดยในพิธีเปิดงานได้รับเกียรติจาก คุณแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมด้วย คุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ร่วมด้วยคุณอนุทิน ชาญวีรกูล  รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, คุณอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย, คุณฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย และคุณวันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร พร้อมชมความยิ่งใหญ่ของขบวนพาเหรดอภิมหาสงกรานต์ รางน้ำ มโหฬาร มหาสนุก จากทัพศิลปินและนักแสดงสุดฮอตแห่งปี เจฟ-วรกมล ซาเตอร์, หลิงหลิง-ศิริลักษณ์ คอง, ออม-กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์ และ เอม-สรรเพชญ์ คุณากร เดสติเนชั่นแห่งการเฉลิมฉลองในทุกเทศกาล ตอกย้ำย่านรางน้ำเป็นแลนด์มาร์กสำหรับการเล่นน้ำสงกรานต์ 
Tags

งานหนังสือ 68 มีอะไร? งานไม่ใหญ่แน่นะวิ

1) เพิ่มฮอลล์ ขยายพื้นที่ให้ใหญ่ขึ้น จากเดิม 15,000 ตารางเมตร เป็น 20,000 ตารางเมตร 2) ขยายบูธเพิ่มเป็น 1,200 บูธ จาก 400 สำนักพิมพ์ 3) หนังสือที่งานกว่า 2,000,000 เล่ม 4) เพิ่มกิจกรรมพบปะระหว่างนักเขียนกับนักอ่าน ตามโซนต่างๆ ให้มากขึ้น รวมไปถึงนักเขียนต่างชาติ ที่จะได้เจอกับนักอ่านไทยมากขึ้นด้วย 5) ต่อยอด Bangkok Right Fair หรืองานซื้อขายลิขสิทธิ์ในลักษณะ B2B ให้สำนักพิมพ์ต่างชาติร่วมเจรจาซื้อขายลิขสิทธิ์กันภายในงานหนังสือ ซึ่งประสบผลสำเร็จมาจากปีก่อนหน้า และในปีนี้ มีสำนักพิมพ์ต่างชาติเดินทางมาร่วมกว่า 14 ประเทศ และทางผู้จัดคาดการณ์ตัวเลขซื้อขายสูงถึง 65 ล้านบาท 6) บูธตัวแทนจากต่างประเทศ อาทิ จีน ไต้หวัน อิหร่าน ยูเครน ฯลฯ ที่มาร่วมสมทบความเป็นงานหนังสือนานาชาติให้ยิ่งใหญ่ขึ้น ในส่วนของเราเองก็มี 7) นิทรรศการหนังสือแปล ที่ได้รับทุนการแปลเพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงานของ Soft Power สาขาหนังสือ ที่ต้องการนำผลงานไทยไปบุกตลาดโลกให้มากขึ้นกว่าเดิม 8) นิทรรศการหนังสือที่ผู้จัดคัดเลือกมา ในที่นี้ทางเราขอใช้คำว่า “หนังสือแนะนำที่คนยังไม่ค่อยได้อ่าน” โดยมีกรรมการคัดสรรเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพราะว่ากันตามตรง วงการหนังสือก็ไม่ต่างจากวงการสร้างสรรค์อื่นๆ ที่ยิ่งนานวัน ก็ยิ่งมีฐานผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มของตนเองมากขึ้น กล่าวคือ niche market เติบโตและแข็งแรงมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งต่อให้เป็นนักอ่านที่ท่องทะยานโลกอักษรมากขนาดไหน ก็ยากที่จะมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในกลุ่มอื่น หรือในภาพรวม นิทรรศการลักษณะนี้ก็สามารถชี้เป้า “ของดีที่เราอาจตกหล่นไป” ได้เช่นกัน 9) โซนพิเศษ “นวดเพื่อสุขภาพ” ใครเดินจนปวดเมื่อยก็เข้าไปใช้บริการได้ (แว่วๆ มาว่าราคาย่อมเยาว์ซะด้วยนะ) ทั้งหมดนี้ น่าจะเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า “จะทำยังไงให้งานหนังสือไม่ใช่แค่แหล่งขายหนังสือ” “งานหนังสือต้องไม่ใช่มหกรรมลดราคาหนังสือ” “และต้องไม่ใช่พื้นที่เอื้ออาทรระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขาย” เอาเข้าจริง ปัญหาวงการหนังสือบ้านเรายังมีให้สาธยายอีกมาก แต่หากจำกัดวงแคบมาเฉพาะที่งานหนังสือ คงต้องบอกว่า มีอีกมากมายที่เราสามารถยกระดับขึ้นได้อีก ทั้งการเป็นตัวแทนของคนวงการหนังสือทั้งประเทศ และความเป็นอีเวนต์ระดับนานาชาติของอาเซียน ยังไม่นับรวมถึงรายละเอียดปลีกย่อย อาทิ ไม่มีเก้าอี้-ที่นั่ง

ผลงานรัฐบาลเป็นที่ประจักษ์! Soft Power ไทย โต 0.6

การประเมิน Global Soft Power Index 2025 โดย Brand Finance องค์กรประเมินมูลค่าแบรนด์ และการวิจัยเชิงลึก ซึ่งได้เก็บข้อมูลจากผลสำรวจมากกว่า 170,000 คน จาก 193 ประเทศทั่วโลก ด้วยเกณฑ์ชี้วัดกว่า 55 เกณฑ์ชี้วัดที่ประกอบการพิจารณา เพื่อประเมินการรับรู้เชิงประสิทธิภาพ หรือ Soft Power ของประเทศต่างๆ ในเวทีโลก  ปรากฏว่า อันดับของประเทศไทยสูงขึ้นจากปีที่แล้วขึ้นมา 1 อันดับ จากอันดับ 40 ในปี 2024 เป็นอันดับที่ 39 ของโลก ในปี 2025  โดย Brand Finance ให้คะแนนอัตราการเติบโตของ Soft Power ประเทศไทยจากปี 2024 – 2025 อยู่ที่ +0.6 ตัวเลขนี้นับว่าทรงๆ คือไม่ได้มีการเติบโตที่เป็นนัยยะสำคัญแต่ประการใด ขณะที่ อัตราการเติบโตจากปี 2023 – 2024 อยู่ที่ +2.4 ซึ่งเป็นตัวเลขที่อยู่ในเกณฑ์การเติบโตค่อนไปทางสูง  ทั้งนี้ Brand Finance ได้แบ่งหมวดหมู่ของเกณฑ์ชี้วัดเป็น 11 หมวด โดยหมวดหมู่ที่ไทยทำคะแนนได้มากที่สุดคือ Familiarity หรือความคุ้นเคยที่ชาวโลกมีต่อประเทศนั้นๆ ส่วนหมวดที่คะแนนน้อยที่สุดเป็น Governance หรือการบริหารปกครองแผ่นดิน ซึ่งเป็นหมวดหมู่ที่ประเทศไทยทำคะแนนได้น้อย/น้อยที่สุดติดต่อกันหลายปี ทั้งนี้ มีอันดับของประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติม อาทิ สหรัฐอเมริกา ที่ปี 2024 มีอัตราการเติบโตของ Soft Power อยู่ที่ +4.0 แต่ปีนี้ 2025 กลับเพิ่มขึ้นเพียง +0.7 เท่านั้น แต่ทว่าคะแนนรวมของอเมริกายังคงครองความเป็นที่ 1 ของตารางอยู่เช่นเดิม  ส่วนประเทศที่ทำคะแนนได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ อาทิเช่น จีน ซึ่งปีที่แล้วอยู่อันดับ 3 ของตาราง
Tags

Key Success ของคนทำ Festival ปั้นเทศกาลให้ปัง พร้อมดัน Soft Power

งานเทศกาล นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว และดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติได้จำนวนมาก ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นงานเทศกาลดั้งเดิม หรือ งานเทศกาลสมัยใหม่ ก็ล้วนแต่เป็นที่สนใจในระดับสากล  ด้วยเหตุนี้ จึงนำมาสู่แนวคิดที่จะยกระดับและผลักดันงานเทศกาลของไทยให้มีหน้ามีตาทัดเทียมเทศกาลระดับโลก ด้วยความร่วมมือจาก TCEB, THACCA, OFOS และ EMA ซึ่งได้จัดการอบรมพิเศษในโครงการ Event Think Tank เป็นเวลา 2 วัน สำหรับทุกฝ่ายที่สนใจ Festival ยิ่งไปกว่านั้น ภายในงานยังได้รวมเอาคนในวงการที่ประสบความสำเร็จ มาร่วมแบ่งปันความรู้ และแชร์วิธีคิดที่น่าสนใจ แต่ละคนที่มาเรียกได้ว่ารุ่นใหญ่ทั้งนั้น โดยในวันที่ 2 ของการอบรม มีประเด็นที่เราเก็บมาฝากได้ดังนี้ 1. นิมิตร พิพิธกุล เจ้าของงาน puppet festival / อุปนายกสมาคมการค้าส่งเสริมการจัดมหกรรมและเทศกาลนานาชาติ “ทุกอย่างเป็นเทศกาลได้ แต่เทศกาลจะสร้างให้มีทุกอย่างไม่ได้” ประโยคง่ายๆ ที่สรุปใจความได้อย่างครบถ้วน คือคุณนิมิตรกำลังบอกว่า เราสามารถจัดเทศกาลได้จากทุกอย่างนี่แหละ ตัวคุณนิมิตรเองก็จัดงานจากสิ่งเล็กๆ อย่าง “หุ่น” จนกลายมาเป็น “เทศกาลหุ่นโลก” ซึ่งจัดมาแล้วกว่า 28 ครั้ง โดยรวบรวมเอาหุ่นมาจากทั่วมุมโลก อันเป็นภูมิปัญญา วัฒนธรรม และสินค้าของแต่ละแห่ง  แต่กระนั้นก็ตาม ใช่ว่าเทศกาลจำเป็นต้องมีทุกอย่าง เพราะบางครั้งการทำให้มีทุกอย่าง เช่น อาหาร เสื้อผ้า ดนตรี กีฬา ฯลฯ อาจทำให้ตัวงานไม่เป็นที่จดจำ สุดท้ายแล้วคนก็ลืมว่ามันคืองานอะไร เพราะฉะนั้น ควรเลือกแก่นให้ชัดเจนว่าจะทำอะไร ต่อให้สิ่งนั้นจะเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มแค่ไหนก็ตาม “เมื่อเราทำเทศกาล ไม่ใช่ว่าเรา(คนไทย)รู้จักไหม แต่คือโลกรู้จักไหม เพราะทั่วโลกมี 193 ประเทศ และทุกประเทศมีหุ่น ซึ่งมันไม่ใช่แค่ของสำหรับเด็กเล่น แต่คือวัฒนธรรม ภูมิปัญญา และสินค้าของแต่ละชาติ” ในบริบทนี้ คุณนิมิตรยังกล่าวเสริมอีกว่า สำหรับการทำงานเทศกาล โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมต่างชาติ “ความเคารพ” เป็นเรื่องสำคัญ ในที่นี้ไม่ใช่แค่การให้พื้นที่ ให้โอกาส หรือให้เวลาโดยเท่าเทียมกัน แต่เป็นการเคารพตัวตนและอัตลักษณ์ของแต่ละกลุ่มชน  “อย่าเอาเขามาเปลี่ยน เราไม่แปร art เขามาเป็น product
Tags

Design Up+Rising ปลุกชีวิตใหม่ให้ย่านเก่า เยาวราช-ทรงวาด, หัวลำโพง

เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ หรือ bangkok design week ปีนี้ ดำเนินมาเป็นปีที่ 8 ด้วยแนวคิด “Design Up+Rising: ออกแบบพร้อมบวก+” เพื่อสร้างพลังบวกผ่านงานออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ พร้อมต่อยอดศักยภาพทางสังคม เศรษฐกิจ ขับเคลื่อนเมืองและเปิดโอกาสใหม่ๆ แด่คุณภาพชีวิตของผู้คนในย่านต่างๆ ทั้งนี้ จากเส้นทางที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ได้นำชมในช่วงเปิดตัว บนเส้นทางเยาวราช-ทรงวาด และหัวลำโพง ซึ่งมีงานออกแบบจัดแสดงเรียงรายตามจุดต่างๆ โดยประสานมุมมองในชุมชนนั้นๆ ไว้อย่างน่าสนใจ 1. เริ่มต้นกันที่ย่าน เยาวราช-ทรงวาด พื้นที่ชุมชนเก่าแก่ที่ยังคงเสน่ห์แห่งอดีตเอาไว้ตามที่อยู่อาศัย ซอกมุมอาคาร รวมไปถึงวิถีชีวิตที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น แม้บางอย่างจะเลือนจางไปตามเวลา แต่หลายอย่างยังเข้มข้นอยู่ในบรรยากาศระหว่างสองข้างทาง โดยแต่เก่าก่อน ย่านเยาวราช-ทรงวาด ถือเป็นพื้นที่ค้าขายอันหลอมรวมวัฒนธรรมทั้งชาวไทย จีน และอินเดีย อยู่ร่วมกัน โดยเรายังสามารถพบเห็นสิ่งหลงเหลือทางประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิตตลอดเส้นทางชุมชนแห่งนี้ โดยไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดในย่านเยาวราช-ทรงวาด ได้แก่ 1.1 ตู้โทรสุข by V&FS & Heartsell & Do Itt Now ตู้โทรศัพท์ที่ให้เราเลือกยกหูหาคนอายุตั้งแต่ 1-100 ปี โดยปลายสายจะบอกเล่าถึง “เคล็ดลับคิดบวก” ในช่วงอายุของตนให้เราฟัง เพื่อส่งต่อพลังบวกแก่กันและกัน นับว่าเป็นคอนเซ็ปต์ที่ดีทีเดียว ซึ่งตู้สีเหลืองเด่นนี้ ตั้งอยู่ระแวกตึกเก่าของถนนทรงวาดพอดี บรรยากาศให้สุดๆ ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.bangkokdesignweek.com/bkkdw2025/program/105321 1.2 Spice Road by vice versa ที่นี่ไม่ได้มีแค่ตึกเก่า ไม่ได้มีแค่โกดังสินค้า แต่ยังมีกลิ่นที่ลอยมาแตะปลายจมูกอยู่เนืองๆ เป็นกลิ่นที่บอกเล่าว่า ณ จุดนี้ เคยเป็นศูนย์กลางการค้าของกรุงเทพฯ มาก่อน โดยเฉพาะกลิ่นเครื่องเทศที่อบอวลตามร้านค้า ซึ่งเป็นเครื่องสะท้อนถึงชุมชนชาวอินเดียเคยมาตั้งรกรากค้าขายที่นี่ และกลิ่นที่เคยอบอวลในตลาดหรือในโกดังสินค้า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน ทว่ามันซึมลึกอยู่ในอิฐเก่าๆ ตามซอกซอย อยู่ในจานอาหาร และบางทีอาจอยู่ในความทรงจำของใครบางคน นิทรรศการ Spice Road คือการปลุกกลิ่นเก่าให้กลับมามีชีวิต ผ่านเรื่องราวของสามยุคตั้งแต่ยุคที่เครื่องเทศเดินทางข้ามแผ่นดินมาสู่ย่านนี้ ยุคที่กลิ่นเหล่านั้นหลอมรวมเข้ากับอาหารไทย และยุคที่กลิ่นต่างๆ ถูกแปรเปลี่ยนเป็นน้ำมันหอมระเหย พร้อมส่งผ่านความผ่อนคลายไปสู่วันพรุ่งนี้ ข้อมูลเพิ่มเติม

ยิ่งทำ ยิ่งหลง ยิ่งงง: บทสรุป Soft Power แห่งปี By ช่อ-พรรณิการ์

คำว่า “Soft Power” ต่อให้จะถอดความเป็นภาษาไทยด้วยคำพูดสวยหรูเพียงใดก็ตาม แต่ถึงที่สุดแล้ว แก่นสำคัญสุดท้ายก็คือ “อำนาจ” หากแต่เป็นรูปแบบอำนาจที่ปราศจากการบังคับขู่เข็ญด้วยพละกำลัง ทั้งนี้ สถานะแห่งอำนาจย่อมไม่ได้ตั้งอยู่อย่างโดดๆ เพราะจำต้องมีอย่างน้อยสองฝ่ายขึ้นไป ถึงจะปรากฏพบอำนาจ เช่นนี้แล้ว Soft Power ของประเทศหนึ่งๆ จึงมิใช่สิ่งอื่นใด นอกเสียจาก “อำนาจระหว่างประเทศ” ในความหมายของการโน้มน้าวประเทศปลายทางเพื่อหวังผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยปีที่ผ่านมาสำหรับประเทศไทย จะเรียกว่าเป็นปีแห่ง Soft Power ก็คงไม่ผิดนัก เพราะน่าจะมีการพูดถึงคำนี้มากกว่าปีไหนๆ พร้อมด้วยฝ่ายบริหารที่มุ่งมั่นในนโยบายนี้กันอย่างแข็งขัน กระนั้นก็ตาม อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า นัยสำคัญของ “Soft Power” ก็คือ “อำนาจระหว่างประเทศ” ซึ่งปีที่ผ่านมาคงต้องกล่าวว่า ประเทศไทยเผชิญความท้าทายจากรอบทิศ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องคดีตากใบ, เกาะกูด / MOU44, ลูกเรือประมงไทยถูกจับในเมียนมา ตลอดจนความท้าทายทางภาษีจากสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์ 2.0 และอิทธิพลจากจีน ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้พูดคุยกับ ช่อ-พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารและโฆษกคณะก้าวหน้า ว่าด้วยเรื่องประเทศไทยจะสามารถรับมือความท้าทายจากปี 67 และปีต่อๆ ไป ด้วยพลังอำนาจที่พูดกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอย่าง Soft Power ได้อย่างไร? “จริงๆ แล้ว เรื่องนี้เป็นหัวใจของคำว่า Soft Power มันคือความหมายที่เขายอมรับกันในสากลโลก” พรรณิการ์ตอบกลับอย่างตรงประเด็น ก่อนจะขยายความโดยการยกตัวอย่างถึง อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่กำลังจะดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปีหน้า ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการคว้าธงเป็นผู้นำด้านการสร้างสันติภาพในอาเซียน ทั้งในเมียนมา และชายแดนไทย-มาเลเซีย โดยท่าทีดังกล่าวเป็นบทบาทของประเทศที่เจริญแล้ว หรือประเทศที่กำลังไต่เต้าขึ้นมา ซึ่งอันวาร์ อิบราฮิมกำลังใช้สิ่งนี้เป็น Soft Power ให้ประเทศตัวเองมีอำนาจมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ หรือก็คือการเป็น Peace Promoter บทบาทผู้ส่งเสริมสันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นนี้แล้ว พอย้อนกลับมามองยังประเทศไทยที่เผชิญความท้าทายจากรอบทิศในปีที่ผ่านมา พรรณิการ์ได้กล่าวเสริมต่อไปว่า “ประเทศไทยพูดเรื่อง soft power ทุกวันมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว คำถามคือลำพังแค่ลูกเรือไทยถูกจับที่เมียนมา ผ่านไป 2 อาทิตย์แล้วตอนนี้ คุณยังไม่สามารถเอากลับมาได้เลย.อย่าไปพูดถึงอำนาจในการเจรจาต่อรองกับจีน หรืออำนาจในการเจรจาต่อรองกับทรัมป์

นับถอยหลังสู่ประเพณีถือศีลกินผัก จ.ภูเก็ต จากวิถีศรัทธาแห่งชุมชน สู่เทศกาลที่นักเดินทางทั่วโลกต้องมาสัมผัส

เตรียมตัวให้พร้อม! เพราะใกล้เข้ามาแล้วสำหรับเทศกาลไฮไลท์ประจำปีของเมืองภูเก็ต “ประเพณีถือศีลกินผัก” ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ หนึ่งในประเพณีสำคัญที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น วัฒนธรรม วิถีชีวิต ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นเมืองเทศกาลของภูเก็ต ซึ่งมีวัฒนธรรมอันรุ่มรวย พร้อมด้วยระบบบริหารจัดการที่เพียบพร้อม เตรียมต่อยอดสู่การเป็นแลนด์มาร์คระดับโลก  จากเมืองเล็กๆ ที่หลอมรวมผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรมประเพณี พร้อมด้วยมาตรฐานการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยแก่งานเทศกาล สู่การยกระดับอัตลักษณ์ท้องถิ่น ให้เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องลองมาสัมผัสสักครั้ง เรียกว่าเป็นการขับเคลื่อนศักยภาพเมืองภูเก็ตในรูปแบบ more local, more global อย่างแท้จริง ทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่พัก โรงแรม รีสอร์ท โครงสร้างพื้นฐาน หรือระบบคมนาคมซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนต่างๆ พร้อมรองรับผู้เข้าร่วมงาน หรือนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากทั่วโลก ทั้งนี้ “ประเพณีถือศีลกินผัก” นับว่าสะท้อนเอกลักษณ์ของเมืองภูเก็ตได้เป็นอย่างดี เนื่องจากปัจจัยทางวัฒนธรรมต่างๆ ที่ประกอบสร้างภาพจำเมืองภูเก็ต ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญ และแสดงให้เห็นถึงวิถีชุมชนอันแตกต่าง หากแต่สอดประสานและอยู่รวมกันเป็นหนึ่ง กระทั่งกลายเป็นเอกลักษณ์ที่สะท้อนภาพแห่งสังคมพหุวัฒนธรรมประจำเมืองภูเก็ต จนกล่าวได้ว่า “ภูเก็ตคือเมืองเทศกาลที่รุ่มรวยไปด้วยวัฒนธรรม” Diversity of Phuket, Diversity of Thailand   ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ถือว่าเป็นหนึ่งในมนต์เสน่ห์แห่งภูเก็ต ซึ่งผสานความแตกต่างเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว และหากกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว เมืองภูเก็ตแห่งนี้ก็สะท้อนแก่นแท้ความเป็นไทยในภาพรวมได้อย่างลุ่มลึก เพราะคอนเซ็ปต์ของความเป็นไทยคงมิใช่อะไรอื่น นอกเสียจากการหลอมรวมความแตกต่างหลากหลายของผู้คนและวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน และเมืองภูเก็ตเองก็ผนวกความเป็นพหุวัฒนธรรมในพื้นถิ่นและนำเสนอออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมไทยแบบศาสนาพุทธ หรือวัฒนธรรมชาวมลายูแบบมุสลิม ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีบทบาทสำคัญในสังคม ทั้งวัฒนธรรม อาหาร วิถีชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังมีสถาปัตยกรรมแบบชิโน-ยูโรเปียน หนึ่งในเอกลักษณ์ของภูเก็ต ซึ่งผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมจีน มาเลเซีย และอิทธิพลทางยุโรปจากโปรตุเกส ดัตช์และอังกฤษ อันสามารถพบเห็นได้ตามย่านเมืองเก่า  โดยเฉพาะยิ่งวัฒนธรรมของชาวจีนฮกเกี้ยน ซึ่งได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในภูเก็ตมากขึ้น ณ ช่วงที่ทางการส่งเสริมให้ทำเหมืองแร่ดีบุก ชาวจีนฮกเกี้ยนจึงถือเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ส่งผลให้สถานะทางเศรษฐกิจของเมืองภูเก็ตรุ่งเรืองขึ้นจนเป็นหัวเมืองใหญ่แห่งหนึ่งในภูมิภาค และอิทธิพลดังกล่าวยังส่งผลต่อศิลปวัฒนธรรมเมืองภูเก็ตในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น อาหาร, สถาปัตยกรรม, ความเชื่อ, รวมถึงวัตรปฏิบัติต่างๆ ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้ เมืองภูเก็ตจึงกลายเป็นเมืองเทศกาลระดับโลก ซึ่งโอบรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมผ่านการจัดงานประเพณีต่างๆ ตลอดทั้งปี อาทิ ประเพณีลอยเรือ งานแข่งขันเรือใบ เทศกาลอาหารทะเล ลอยกระทง เทศกาลผ้อต่อ และไฮไลท์สำคัญของทุกปีที่หลายคนรอคอยนั้นก็คือ “ประเพณีถือศีลกินผัก” ถือศีลกินผัก เอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร “ประเพณีถือศีลกินผัก ช่วงแห่งการรักษากายใจให้บริสุทธิ์ ผ่านพิธีกรรมและความศรัทธา” เป็นประเพณีความเชื่อที่ถูกถ่ายทอดมาจากชาวจีนฮกเกี้ยน ซึ่งมีการจัดขึ้นทุกปี โดยมีวิถีปฏิบัติทั่วไปคืองดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์

ภูเก็ตสร้างชื่อ!  คว้ารางวัล “เมืองเทศกาลโลก” ประจำปี 2024

จังหวัดภูเก็ต ได้รับการประกาศให้เป็น “เมืองเทศกาลโลก (World Festival and Event City)” ประจำปี 2024 โดยสมาคมเทศกาลและกิจกรรมระหว่างประเทศ (IFEA) การได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของภูเก็ตในการจัดงานระดับนานาชาติที่มีมาตรฐานระดับโลก โดย IFEA พิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น การมีงานเทศกาลที่โดดเด่น การทำงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆ และความสามารถในการสร้างเศรษฐกิจจากการจัดงานเทศกาล นอกจากภูเก็ตแล้ว ยังมีเมืองอื่นๆ ที่ได้รับรางวัลนี้ด้วย ได้แก่ กวางจู เกาหลี, แม็คอัลเลน รัฐเท็กซัส, มิลวอกี รัฐวิสคอนซิน, และ ฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย, พิทต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา โดยพิธีมอบรางวัลจัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2567 ณ เมือง Pittsburgh สหรัฐอเมริกา โดย นายพัฒนชัย สิงหะวาระ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการภาคใต้ เป็นผู้รับมอบรางวัล ของจังหวัดภูเก็ตประเทศไทย รางวัลนี้ไม่เพียงแต่เป็นความภาคภูมิใจของชาวภูเก็ต แต่ยังเป็นการยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานานาชาติ โดยแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับโลก และส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ การได้รับรางวัล “เมืองเทศกาลโลก” เป็นก้าวสำคัญของภูเก็ตและประเทศไทย ที่จะนำไปสู่การพัฒนาการจัดงานเทศกาลต่างๆ ให้มีมาตรฐานสูงขึ้น และดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยือนประเทศไทยมากยิ่งขึ้น #TheAttraction #SoftPower #Phuket #Festival #TCEB #เมืองเทศกาลโลก #IFEA

ลาบูบู้ใส่ชุดไทย โผล่เดินงาน Thai Festival in Beijing

  หลัง ททท. เปิดเผยโปรเจคต์กระตุ้นนักท่องเที่ยวจีนที่จะทำร่วมกับ POP MART แล้วได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก ททท.ก็ดูท่าว่าจะไม่เปลี่ยนแผน . เพราะเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา ททท. เริ่มปลุกกระแสเที่ยวไทยจากจีนด้วยการพาลาบูบู้ใส่ชุดไทย เดินงาน Thai Festival in Beijing ที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้วัฒนธรรมไทยผ่านการแต่งชุดไทย ก่อนจะบินมาเที่ยวไทยในวันที่ 1 กรกฎาคม ในฐานะ Special guest for Amazing Thailand  ฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน . อีกทั้ง ภายในงานยังมีดารา-ศิลปินแนวหน้า คริส พีรวัส, สน ยุกต์, วิว วรรณรท และ 4EVE เป็นตัวแทนส่งละครไทยและวงการ T-pop กลางปักกิ่ง … Thai Fest หรือ งานเทศกาลไทย เป็นงานเทศกาลที่สถานทูตไทยและสถานกงสุลใหญ่ในต่างประเทศจัดขึ้น ไฮไลท์ในงานจึงอยู่ที่การจำลองประเทศไทยขนาดย่อม ๆ ไปไว้ในต่างประเทศ ไม่ว่าจะอาหารไทย ขนมไทย หรือการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยก็รวมไว้ในที่เดียว งานนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของซอฟท์พาวเวอร์ที่สำคัญต่อการสร้างภาพ “ความเป็นไทย” ในสายตาต่างชาติ … การให้ลาบูบู้ใส่ชุดไทย ก็ถือว่าสร้างประเด็นจุดกระแสความสนใจได้ไม่น้อย หากนับในแง่ของการสร้างภาพจำความเป็นไทยที่นักท่องเที่ยวเห็นได้ชัดและเข้าใจง่าย . แต่ใจหนึ่งก็ยังคงเกิดคำถาม ว่าทำไมททท.ถึงไม่นำมาสคอต “สัญชาติไทย” มาใช้ ทั้ง ๆ ที่ไทยมีมาสคอตมากมายที่โด่งดัง อย่างน้องหมีเนย หรือ ButterBear ที่กำลังมีกระแสในจีน (ถึงขั้นต้องจดลิขสิทธิ์ในจีน) และมาสคอตอีกหลายตัวที่พร้อมจะโด่งดังมาทำกิจกรรมการท่องเที่ยวแบบไทย ๆ . แม้ลาบูบู้ใส่ชุดไทยจะมุ่งเน้นการกระตุ้นนักท่องเที่ยวจีนในงาน Thai Fest ที่กรุงปักกิ่ง แต่ในบางพื้นที่ Thai Fest ก็ได้รับกระแสตอบรับดีมากอยู่แล้ว ทำให้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี อย่างเช่น ในปีนี้ ก็มีการจัด Thai Fest ณ