Skip links

Global Attraction

Tags

คิง เพาเวอร์ “อภิมหาสงกรานต์รางน้ำ มโหฬาร มหาสนุก” จัดเต็มกับอภิมหาความบันเทิงตลอด 6 วันเต็ม เริ่มวันนี้ – 15 เม.ย. นี้

(10 เมษายน 2568) กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย – กทม. – ททท. และ ชุมชนย่านรางน้ำ ยกระดับความสนุกสุดขีด ชวนปักหมุดเทศกาลสงกรานต์ ที่งาน “อภิมหาสงกรานต์รางน้ำ มโหฬาร มหาสนุก” ยกทุก BEACH! สนุกสุดขีดให้โลกจำ คิกออฟเทศกาลสงกรานต์กับพิธีเปิดงานสุดยิ่งใหญ่ โดยได้รับเกียรติจาก คุณแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน  พร้อมร่วมชมขบวนพาเหรด จากศิลปินและนักแสดงสุดฮอตแห่งปี เจฟ-วรกมล ซาเตอร์, หลิงหลิง-ศิริลักษณ์ คอง, ออม-กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์ และ เอม-สรรเพชญ์ คุณากร นำทัพขบวนความสนุกสุดหรรษาท่ามกลางกิจกรรมไฮไลต์ ที่ต้องมา “สาด เต้น เล่น กิน ช้อป สนุกสุดขีดให้โลกจำ” ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พบกับ โปรโมชันจัดเต็ม และกิจกรรมอัดแน่นตลอด 6 วัน เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 15 เม.ย. 2568 ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ  เริ่มแล้วงาน “อภิมหาสงกรานต์ รางน้ำ มโหฬาร มหาสนุก” ยกทุก BEACH! สนุกสุดขีดให้โลกจำ โดยความร่วมมือของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กระทรวงมหาดไทย, กรุงเทพมหานคร, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และชุมชนย่านรางน้ำ กำหนดจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 – 15 เม.ย. 2568 ณ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมทั้งสร้างสีสันความสนุกให้กับช่วงเทศกาลของไทยให้ยิ่งใหญ่คึกคักสู่สายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก พร้อมผลักดันให้ย่านรางน้ำก้าวสู่การเป็น GLOBAL FESTIVALISATION เดสติเนชั่นแห่งการเฉลิมฉลองในทุกเทศกาล ตอกย้ำย่านรางน้ำเป็นแลนด์มาร์กสำหรับการเล่นน้ำสงกรานต์  โดยในพิธีเปิดงานได้รับเกียรติจาก คุณแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมด้วย คุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ร่วมด้วยคุณอนุทิน ชาญวีรกูล  รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, คุณอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย, คุณฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย และคุณวันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร พร้อมชมความยิ่งใหญ่ของขบวนพาเหรดอภิมหาสงกรานต์ รางน้ำ มโหฬาร มหาสนุก จากทัพศิลปินและนักแสดงสุดฮอตแห่งปี เจฟ-วรกมล ซาเตอร์, หลิงหลิง-ศิริลักษณ์ คอง, ออม-กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์ และ เอม-สรรเพชญ์ คุณากร เดสติเนชั่นแห่งการเฉลิมฉลองในทุกเทศกาล ตอกย้ำย่านรางน้ำเป็นแลนด์มาร์กสำหรับการเล่นน้ำสงกรานต์ 

จีนชื่นชม IShowSpeed !? ช่วยบูส Soft Power และลบมายาคติต่อจีน

IShowSpeed เป็น YouTuber สายบันเทิง เอเนอร์จี้ล้นจากสหรัฐฯ เขาเป็นคนที่ ‘สด’ และมี ‘ลูกบ้า’ เยอะมาก คิดอะไรพูดอย่างนั้น ไม่มีสคริปต์ ไม่มีการปรุงแต่ง ซึ่งนั่นคือจุดขายของเขา ด้วยจำนวนผู้ติดตามบน YouTube กว่า 37 ล้านคน จนกล่าวได้ว่า เขาเป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในโลกออนไลน์ กระทั่งเขามาเที่ยวประเทศจีน เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา Speed ได้ไลฟ์สดแบบเรียลๆ ตามสไตล์ คือเห็นอะไรน่าทึ่งก็พูดออกมาเลย มันจึงเป็นการ ‘เปิดโลก’ ให้กับผู้ชมหลายล้านคนที่ติดตามเขาอยู่ ซึ่งทริปนี้ก็เหมือนกับทุกครั้ง เขาสามารถถ่ายทอดวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของเมืองนั้นๆ ออกมาได้แบบตรงไปตรงมา ถูกใจคนดู นับตั้งแต่การลองชิมอาหารท้องถิ่น ไปจนถึงการเล่นฟุตบอลกับแฟนบอลในพื้นที่ หรือแม้แต่การตีลังกาตีลังกาบนกำแพงเมืองจีน โดยสวมชุดสูทสามชิ้นลายดอกไม้สีสันสดใสของ Dongbei ตลอดจนได้เล่นปิงปองกับ Jackson Wang ซุป’ตาร์ระดับโลก ทั้งยังลองขับรถ EV แบรนด์จีนสุดล้ำ ที่ทำให้ Speed อุทานออกมาว่า “เร็วกว่า Lamborghini ของฉันเหรอ? แต่นี่มันรถ EV นะ!” และเขายังได้ชมการแสดง “Bian Lian” (การเปลี่ยนหน้า) ซึ่งเป็นศิลปะการงิ้วเสฉวนแบบดั้งเดิมที่น่าตื่นตาตื่นใจ การถ่ายทอดสดของ Speed ที่ประเทศจีน มียอดเข้าชมตั้งแต่ 5-8 ล้านครั้งบน YouTube จำนวนทั้งหมด 5 คลิป ซึ่งไลฟ์ครั้งหนึ่งราวๆ 4-6 ชั่วโมง และตัวเลขยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่า นอกจากยอดเข้าชมดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของช่องแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศจีนด้วย ในเรื่องนี้ ทางด้าน Li Haidong ศาสตราจารย์ประจำ China Foreign Affairs University กล่าวกับ Global Times ว่า ทริปของ Speed ได้จุดประกายความสนใจจากนานาชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งได้สัมผัสกับ ‘อีกด้านหนึ่งของจีน’ ที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงในสื่อกระแสหลักของสหรัฐฯ การถ่ายทอดสดของ
Tags

งานหนังสือ 68 มีอะไร? งานไม่ใหญ่แน่นะวิ

1) เพิ่มฮอลล์ ขยายพื้นที่ให้ใหญ่ขึ้น จากเดิม 15,000 ตารางเมตร เป็น 20,000 ตารางเมตร 2) ขยายบูธเพิ่มเป็น 1,200 บูธ จาก 400 สำนักพิมพ์ 3) หนังสือที่งานกว่า 2,000,000 เล่ม 4) เพิ่มกิจกรรมพบปะระหว่างนักเขียนกับนักอ่าน ตามโซนต่างๆ ให้มากขึ้น รวมไปถึงนักเขียนต่างชาติ ที่จะได้เจอกับนักอ่านไทยมากขึ้นด้วย 5) ต่อยอด Bangkok Right Fair หรืองานซื้อขายลิขสิทธิ์ในลักษณะ B2B ให้สำนักพิมพ์ต่างชาติร่วมเจรจาซื้อขายลิขสิทธิ์กันภายในงานหนังสือ ซึ่งประสบผลสำเร็จมาจากปีก่อนหน้า และในปีนี้ มีสำนักพิมพ์ต่างชาติเดินทางมาร่วมกว่า 14 ประเทศ และทางผู้จัดคาดการณ์ตัวเลขซื้อขายสูงถึง 65 ล้านบาท 6) บูธตัวแทนจากต่างประเทศ อาทิ จีน ไต้หวัน อิหร่าน ยูเครน ฯลฯ ที่มาร่วมสมทบความเป็นงานหนังสือนานาชาติให้ยิ่งใหญ่ขึ้น ในส่วนของเราเองก็มี 7) นิทรรศการหนังสือแปล ที่ได้รับทุนการแปลเพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงานของ Soft Power สาขาหนังสือ ที่ต้องการนำผลงานไทยไปบุกตลาดโลกให้มากขึ้นกว่าเดิม 8) นิทรรศการหนังสือที่ผู้จัดคัดเลือกมา ในที่นี้ทางเราขอใช้คำว่า “หนังสือแนะนำที่คนยังไม่ค่อยได้อ่าน” โดยมีกรรมการคัดสรรเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพราะว่ากันตามตรง วงการหนังสือก็ไม่ต่างจากวงการสร้างสรรค์อื่นๆ ที่ยิ่งนานวัน ก็ยิ่งมีฐานผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มของตนเองมากขึ้น กล่าวคือ niche market เติบโตและแข็งแรงมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งต่อให้เป็นนักอ่านที่ท่องทะยานโลกอักษรมากขนาดไหน ก็ยากที่จะมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในกลุ่มอื่น หรือในภาพรวม นิทรรศการลักษณะนี้ก็สามารถชี้เป้า “ของดีที่เราอาจตกหล่นไป” ได้เช่นกัน 9) โซนพิเศษ “นวดเพื่อสุขภาพ” ใครเดินจนปวดเมื่อยก็เข้าไปใช้บริการได้ (แว่วๆ มาว่าราคาย่อมเยาว์ซะด้วยนะ) ทั้งหมดนี้ น่าจะเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า “จะทำยังไงให้งานหนังสือไม่ใช่แค่แหล่งขายหนังสือ” “งานหนังสือต้องไม่ใช่มหกรรมลดราคาหนังสือ” “และต้องไม่ใช่พื้นที่เอื้ออาทรระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขาย” เอาเข้าจริง ปัญหาวงการหนังสือบ้านเรายังมีให้สาธยายอีกมาก แต่หากจำกัดวงแคบมาเฉพาะที่งานหนังสือ คงต้องบอกว่า มีอีกมากมายที่เราสามารถยกระดับขึ้นได้อีก ทั้งการเป็นตัวแทนของคนวงการหนังสือทั้งประเทศ และความเป็นอีเวนต์ระดับนานาชาติของอาเซียน ยังไม่นับรวมถึงรายละเอียดปลีกย่อย อาทิ ไม่มีเก้าอี้-ที่นั่ง
Tags

Key Success ของคนทำ Festival ปั้นเทศกาลให้ปัง พร้อมดัน Soft Power

งานเทศกาล นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว และดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติได้จำนวนมาก ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นงานเทศกาลดั้งเดิม หรือ งานเทศกาลสมัยใหม่ ก็ล้วนแต่เป็นที่สนใจในระดับสากล  ด้วยเหตุนี้ จึงนำมาสู่แนวคิดที่จะยกระดับและผลักดันงานเทศกาลของไทยให้มีหน้ามีตาทัดเทียมเทศกาลระดับโลก ด้วยความร่วมมือจาก TCEB, THACCA, OFOS และ EMA ซึ่งได้จัดการอบรมพิเศษในโครงการ Event Think Tank เป็นเวลา 2 วัน สำหรับทุกฝ่ายที่สนใจ Festival ยิ่งไปกว่านั้น ภายในงานยังได้รวมเอาคนในวงการที่ประสบความสำเร็จ มาร่วมแบ่งปันความรู้ และแชร์วิธีคิดที่น่าสนใจ แต่ละคนที่มาเรียกได้ว่ารุ่นใหญ่ทั้งนั้น โดยในวันที่ 2 ของการอบรม มีประเด็นที่เราเก็บมาฝากได้ดังนี้ 1. นิมิตร พิพิธกุล เจ้าของงาน puppet festival / อุปนายกสมาคมการค้าส่งเสริมการจัดมหกรรมและเทศกาลนานาชาติ “ทุกอย่างเป็นเทศกาลได้ แต่เทศกาลจะสร้างให้มีทุกอย่างไม่ได้” ประโยคง่ายๆ ที่สรุปใจความได้อย่างครบถ้วน คือคุณนิมิตรกำลังบอกว่า เราสามารถจัดเทศกาลได้จากทุกอย่างนี่แหละ ตัวคุณนิมิตรเองก็จัดงานจากสิ่งเล็กๆ อย่าง “หุ่น” จนกลายมาเป็น “เทศกาลหุ่นโลก” ซึ่งจัดมาแล้วกว่า 28 ครั้ง โดยรวบรวมเอาหุ่นมาจากทั่วมุมโลก อันเป็นภูมิปัญญา วัฒนธรรม และสินค้าของแต่ละแห่ง  แต่กระนั้นก็ตาม ใช่ว่าเทศกาลจำเป็นต้องมีทุกอย่าง เพราะบางครั้งการทำให้มีทุกอย่าง เช่น อาหาร เสื้อผ้า ดนตรี กีฬา ฯลฯ อาจทำให้ตัวงานไม่เป็นที่จดจำ สุดท้ายแล้วคนก็ลืมว่ามันคืองานอะไร เพราะฉะนั้น ควรเลือกแก่นให้ชัดเจนว่าจะทำอะไร ต่อให้สิ่งนั้นจะเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มแค่ไหนก็ตาม “เมื่อเราทำเทศกาล ไม่ใช่ว่าเรา(คนไทย)รู้จักไหม แต่คือโลกรู้จักไหม เพราะทั่วโลกมี 193 ประเทศ และทุกประเทศมีหุ่น ซึ่งมันไม่ใช่แค่ของสำหรับเด็กเล่น แต่คือวัฒนธรรม ภูมิปัญญา และสินค้าของแต่ละชาติ” ในบริบทนี้ คุณนิมิตรยังกล่าวเสริมอีกว่า สำหรับการทำงานเทศกาล โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมต่างชาติ “ความเคารพ” เป็นเรื่องสำคัญ ในที่นี้ไม่ใช่แค่การให้พื้นที่ ให้โอกาส หรือให้เวลาโดยเท่าเทียมกัน แต่เป็นการเคารพตัวตนและอัตลักษณ์ของแต่ละกลุ่มชน  “อย่าเอาเขามาเปลี่ยน เราไม่แปร art เขามาเป็น product

Made in China 2025 เปลี่ยนโรงงานก็อปเกรด A สู่ผู้นำเทคสะเทือนโลก

ก่อนหน้านี้ มีคำพูดเชิงเสียดสีทำนองว่า “ของเซินเจิ้น” หรือ “ของจีน” อันหมายถึงสินค้าปลอม ของก็อปปี้ ซึ่งสะท้อนภาพรวมอุตสาหกรรมจีนในยุคหนึ่งได้ไม่มากก็น้อย แต่ดูเหมือนว่าคำพูดข้างต้นจะใช้ไม่ได้เสียแล้วสำหรับจีนยุคใหม่ เพราะหลายอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป และบางคนตั้งข้อสังเกตว่า ถึงขนาดที่อาจเปลี่ยนโลกเลยด้วยซ้ำ ทั้ง AI โทรศัพท์มือถือ รถ EV หรือแม้แต่ยานอวกาศ ทั้งหมดนี้เป็นความสำเร็จเพียงส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขอย้ำว่าเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะอย่างที่ทราบกันว่า ยังมี “ทีเด็ดที่เราไม่รู้” และยังไม่ถูกปล่อยออกมาอยู่อีก  หากกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว การสลัดคราบนักก็อปคุณภาพต่ำ ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์ผู้นำแห่งยุคสมัย ทั้งหมดนี้ถูกกำหนดมาด้วยแผนการระยะยาวที่ชื่อว่า “Made in China 2025” ซึ่งได้ประกาศออกมาเมื่อปี 2015 พูดง่ายๆ คือแผนงานเศรษฐกิจแห่งอนาคต เพื่อให้ประเทศจีน เป็นผู้นำด้านนวัตกรรม เทคโนโลยีสมัยใหม่ อีกทั้งยังเป็นการลบล้างภาพจำในช่วงที่จีนวางตัวเป็น “โรงงานโลก” เมื่อครั้งที่เปิดตลาดผลิตสินค้าสู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะหลังจากเข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อปี 2001 ซึ่งเป็นช่วงที่ของก็อปจากจีนเริ่มแพร่หลายขึ้นเรื่อยๆ ในมุมหนึ่ง อาจเป็นเพราะช่วงนั้นจีนยังไม่ได้มีอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ และแม้จะผิดต่อหลักความชอบธรรม แต่การลอกเลียนสินค้าที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว ก็เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดในการเข้าสู่ตลาดของผู้ผลิตรายย่อย  อนึ่ง หลังจากที่จีนใช้กระบวนท่า copy and development ศึกษาสิ่งที่มีคนทำมาก่อน กระทั่งสะสมองค์ความรู้มากพอ ทีนี้ก็ถึงเวลามองไปยังอนาคต โดยในแผนงาน Made in China 2025 มีการประเมินแนวโน้วเทคโนโลยี และทิศทางอนาคต เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ประกอบไปด้วย เทคโนโลยีสารสนเทศ เครื่องจักรกลการผลิต และหุ่นยนต์ การผลิตอุปกรณ์อากาศยานและอวกาศ การผลิตเครื่องมือวิศวกรรมทางทะเลขั้นสูง การผลิตอุปกรณ์ขนส่งทางรถไฟที่ทันสมัย ยานยนต์ประหยัดพลังงานและยานยนต์พลังงานใหม่ อุปกรณ์ด้านพลังงานไฟฟ้า เครื่องจักรและอุปกรณ์ด้านการเกษตร การผลิตวัสดุชนิดใหม่ ยา ชีวภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์ขั้นสูง นอกจากการสนับสนุนอุตสาหกรรมเหล่านี้ ทางการจีนยังตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2568 จะพึ่งพาตนเองให้ได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ในด้านชิปของสมาร์ทโฟน และได้ร่างแผนพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เพื่อสร้างตลาดอุตสาหกรรม AI ให้มีมูลค่า 1 ล้านล้านหยวนภายในปี 2030 โดยการสนับสนุนนวัตกรรมสมัยใหม่นั้นเป็นไปอย่างรอบด้าน อาทิเช่น การสนับสนุนด้านการลงทุน รัฐบาลกลางจีนจัดสรรงบกว่า

Silicon Shield: โล่กำบังของไต้หวัน ใต้เสียงคำรามจากจีน

“ถ้าไต้หวันล่มสลาย ชิปจะหายครึ่งโลก” คำเปรียบเปรยข้างต้นนี้ฟังดูจะไม่ได้เกินเลยนัก เพราะเกาะเล็กๆ ในเอเชียตะวันออกแห่งนี้ เป็นศูนย์กลางการผลิตชิปที่สำคัญที่สุดของโลก และยึดครองส่วนแบ่งในตลาดไปถึง 65% โดยบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) เพียงบริษัทเดียว ก็มีส่วนแบ่งตลาดการผลิตสูงถึง 53% ในปี 2021 โดยมีบริษัทเทคชั้นนำ อาทิ Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet และอีกมากมายเป็นฐานลูกค้าสำคัญ กล่าวอย่างรวบรัดได้ว่า ไต้หวันคือผู้ผลิตมันสมองให้อุปกรณ์เทคโนโลยีกว่าครึ่งค่อนโลก ทว่าความสำคัญไม่ได้มีเพียงแค่นั้น เพราะการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวัน ยังกลายเป็นโล่ป้องกันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนระอุขึ้นทุกวันอีกด้วย จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติเซมิคอนดักเตอร์ แต่เดิม เศรษฐกิจไต้หวันก็ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออก คือเน้นพึ่งพาภาคการเกษตร การท่องเที่ยว และเงินลงทุนจากต่างชาติเป็นหลัก จนช่วงทศวรรษ 1970 รัฐบาลไต้หวันได้มองเห็นศักยภาพของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะในช่วงสงครามเย็นนั้น เทคโนโลยีที่ถูกคิดค้นมาใช้ในการทหาร เริ่มแพร่หลายและปรับเปลี่ยนมาเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันของคนทั่วไปมากขึ้น ไต้หวันจึงได้วางรากฐานสำคัญผ่านการก่อตั้ง Industrial Technology Research Institute (ITRI) ในปี 1973 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างจริงจัง จนในที่สุดจึงก่อตั้ง TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company) ขึ้นในปี 1987 ซึ่งเป็นการสร้างโมเดลธุรกิจแบบ “Foundry” คือรับจ้างผลิตชิปให้กับบริษัทอื่น พูดง่ายๆ ก็เสมือน OEM รับผลิตชิปขั้นสูงนั่นเอง ถึงแม้ช่วงแรกลูกค้าจะยังไม่เยอะ แต่ในไม่นานก็เป็นไปตามคาดจริงๆ เพราะเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันที่ก้าวกระโดดในขณะนั้น ทำให้มีสิ่งประดิษฐ์ หรือนวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญ หลายบริษัทไม่มีโรงงานผลิตชิปขั้นสูงเป็นของตนเอง ครั้นจะก่อตั้งโรงงานขึ้นมาก็เหลือบ่ากว่าแรง ทำให้ TSMC กลายเป็น Outsource ที่เนื้อหอมที่สุดนับแต่นั้นเป็นต้นมา เรื่องนี้จะบอกว่าทางการไต้หวันแทงม้าถูกตัวก็เห็นจะได้ แต่อย่างไรเสีย คงเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์ผู้นำประเทศมากกว่า นับตั้งแต่การลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง สร้างระบบนิเวศทางเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง และทั้งหมดคือการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเป็นระบบ โดยในปี 2025 บริษัท TSMC ตั้งเป้าว่าจะผลิตชิปขนาด 2 nm มาสู่ตลาด ซึ่งจะเป็นชิปขนาดที่เล็กที่สุดและทรงประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยมีมา เกราะป้องกันที่มองไม่เห็น ชิปขนาดเล็กที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า กลายเป็นอุตสาหกรรมหลักของเกาะไต้หวัน

โดนหลอกมาตั้งนาน! เทศกาลฮาโลวีน ไม่ใช่ Soft Power ของอเมริกา?

มีเทศกาลสากลอยู่ไม่มากนักที่หลายแห่งในโลกจะปฏิบัติร่วมกันโดยพร้อมเพรียง ถ้าไม่นับวันขึ้นปีใหม่แล้วล่ะก็ อาจจะมี “วันคริสต์มาส” กับ “วันตรุษจีน” ที่พอจะพบได้ในหลายภูมิภาค แต่เทศกาลสากลไม่ได้มีแค่นี้ เพราะ “วันฮาโลวีน” ยังเป็นหนึ่งในเทศกาลที่คนทั่วโลกพร้อมจอยไปด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ทวีปใดก็ตาม และเผลอๆ วันฮาโลวีน อาจจะเป็นเทศกาลสากลที่ง่ายต่อการเข้าร่วมมากที่สุดในโลกด้วยซ้ำไป เพราะหากเปรียบเทียบ วันฮาโลวีนมิได้มีความเข้มข้นทางศาสนาเท่ากับวันคริสต์มาส และไม่ได้ขึ้นอยู่กับความผูกพันทางสายเลือดอย่างวันตรุษจีน ทว่าธีมหลักของวันฮาโลวีน ซึ่งเกี่ยวกับผี วิญญาณ ความตาย เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ทุกแห่งหน ธีมดังกล่าวจึงเชื่อมโยงผู้คนได้ทั่วโลก รวมถึงการละเล่นที่เรียบง่าย ทำตามได้แทบจะทุกหมู่ชน อาทิ การแต่งกาย/แต่งหน้าแฟนซี หรือเล่น trick or treat ซึ่งกิจกรรมต่างๆ นอกจากมอบความสนุกแล้ว ยังสามารถเชื่อมสัมพันธ์กับคนรอบตัว เพื่อนบ้าน ชุมชน และสังคมไปในตัวอีกด้วย ทั้งนี้ ดูเผินๆ ‘วันปล่อยผี’ อาจจะเป็นวัฒนธรรมของชาวอเมริกันสมัยใหม่ หรือจะถือว่าเป็น Soft Power ของอเมริกาก็อาจจะว่าได้ …แต่เดี๋ยวก่อน แท้จริงแล้วเรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เพราะหากลองย้อนความเป็นมาของวันฮาโลวีน ก่อนจะมาเป็นที่รู้จักผ่านอเมริกา ต้นเรื่องคงต้องย้อนเวลาและย้ายแผ่นดินไปยังถิ่นยุโรป ว่ากันว่า ต้นกำเนิดของวันฮาโลวีนนั้นมาจากความเชื่อเก่าแก่ของเซลติกโบราณกว่า 2,000 ปีที่แล้ว โดยวันสำคัญนั้นมีชื่อว่า Samhain ซึ่งนับว่าเป็นวันสิ้นสุดฤดูร้อน ก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว อีกทั้งยังเป็นช่วงที่เส้นพรมแดนระหว่างโลกของ “คนเป็น” และ “คนตาย” จะเลือนลางลงในคืนวันที่ 31 ตุลาคม โดยเชื่อกันว่าวิญญาณของคนตายจะกลับคืนสู่โลกในวันนั้น ต่อมา เมื่อจักรวรรดิโรมันเข้ามาปกครองอาณาเขตแถบนั้น ส่งผลให้มีการผสานรวมกับประเพณีอื่น จนเกิดเป็นชื่อใหม่ ความหมายใหม่ รวมถึงแนวคิดแบบคริสตจักรที่แผ่ขยายปกคลุมเขตแดนดังกล่าว ก่อให้เกิดพลวัตทางวิถีปฏิบัติและคติความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไป  ในประเด็นนี้ กําพล จําปาพันธ์ เขียนไว้ในบทความของ The People โดยอ้างอิงถึงผลงานของผู้เชี่ยวชาญสองคนได้แก่ Ruth Edna Kelley และ Ray Bradbury ซึ่งอธิบายว่า ‘Halloween’ มาจากคำว่า ‘All-hallows’ ในคริสตศาสนา หมายถึง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ส่วนชาวเซลติกดั้งเดิมมีคำว่า ‘All Hallows Eve’ หมายถึง ‘วันก่อนฉลองนักบุญทั้งหลาย’

นับถอยหลังสู่ประเพณีถือศีลกินผัก จ.ภูเก็ต จากวิถีศรัทธาแห่งชุมชน สู่เทศกาลที่นักเดินทางทั่วโลกต้องมาสัมผัส

เตรียมตัวให้พร้อม! เพราะใกล้เข้ามาแล้วสำหรับเทศกาลไฮไลท์ประจำปีของเมืองภูเก็ต “ประเพณีถือศีลกินผัก” ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ หนึ่งในประเพณีสำคัญที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น วัฒนธรรม วิถีชีวิต ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นเมืองเทศกาลของภูเก็ต ซึ่งมีวัฒนธรรมอันรุ่มรวย พร้อมด้วยระบบบริหารจัดการที่เพียบพร้อม เตรียมต่อยอดสู่การเป็นแลนด์มาร์คระดับโลก  จากเมืองเล็กๆ ที่หลอมรวมผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรมประเพณี พร้อมด้วยมาตรฐานการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยแก่งานเทศกาล สู่การยกระดับอัตลักษณ์ท้องถิ่น ให้เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องลองมาสัมผัสสักครั้ง เรียกว่าเป็นการขับเคลื่อนศักยภาพเมืองภูเก็ตในรูปแบบ more local, more global อย่างแท้จริง ทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่พัก โรงแรม รีสอร์ท โครงสร้างพื้นฐาน หรือระบบคมนาคมซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนต่างๆ พร้อมรองรับผู้เข้าร่วมงาน หรือนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากทั่วโลก ทั้งนี้ “ประเพณีถือศีลกินผัก” นับว่าสะท้อนเอกลักษณ์ของเมืองภูเก็ตได้เป็นอย่างดี เนื่องจากปัจจัยทางวัฒนธรรมต่างๆ ที่ประกอบสร้างภาพจำเมืองภูเก็ต ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญ และแสดงให้เห็นถึงวิถีชุมชนอันแตกต่าง หากแต่สอดประสานและอยู่รวมกันเป็นหนึ่ง กระทั่งกลายเป็นเอกลักษณ์ที่สะท้อนภาพแห่งสังคมพหุวัฒนธรรมประจำเมืองภูเก็ต จนกล่าวได้ว่า “ภูเก็ตคือเมืองเทศกาลที่รุ่มรวยไปด้วยวัฒนธรรม” Diversity of Phuket, Diversity of Thailand   ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ถือว่าเป็นหนึ่งในมนต์เสน่ห์แห่งภูเก็ต ซึ่งผสานความแตกต่างเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว และหากกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว เมืองภูเก็ตแห่งนี้ก็สะท้อนแก่นแท้ความเป็นไทยในภาพรวมได้อย่างลุ่มลึก เพราะคอนเซ็ปต์ของความเป็นไทยคงมิใช่อะไรอื่น นอกเสียจากการหลอมรวมความแตกต่างหลากหลายของผู้คนและวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน และเมืองภูเก็ตเองก็ผนวกความเป็นพหุวัฒนธรรมในพื้นถิ่นและนำเสนอออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมไทยแบบศาสนาพุทธ หรือวัฒนธรรมชาวมลายูแบบมุสลิม ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีบทบาทสำคัญในสังคม ทั้งวัฒนธรรม อาหาร วิถีชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังมีสถาปัตยกรรมแบบชิโน-ยูโรเปียน หนึ่งในเอกลักษณ์ของภูเก็ต ซึ่งผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมจีน มาเลเซีย และอิทธิพลทางยุโรปจากโปรตุเกส ดัตช์และอังกฤษ อันสามารถพบเห็นได้ตามย่านเมืองเก่า  โดยเฉพาะยิ่งวัฒนธรรมของชาวจีนฮกเกี้ยน ซึ่งได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในภูเก็ตมากขึ้น ณ ช่วงที่ทางการส่งเสริมให้ทำเหมืองแร่ดีบุก ชาวจีนฮกเกี้ยนจึงถือเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ส่งผลให้สถานะทางเศรษฐกิจของเมืองภูเก็ตรุ่งเรืองขึ้นจนเป็นหัวเมืองใหญ่แห่งหนึ่งในภูมิภาค และอิทธิพลดังกล่าวยังส่งผลต่อศิลปวัฒนธรรมเมืองภูเก็ตในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น อาหาร, สถาปัตยกรรม, ความเชื่อ, รวมถึงวัตรปฏิบัติต่างๆ ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้ เมืองภูเก็ตจึงกลายเป็นเมืองเทศกาลระดับโลก ซึ่งโอบรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมผ่านการจัดงานประเพณีต่างๆ ตลอดทั้งปี อาทิ ประเพณีลอยเรือ งานแข่งขันเรือใบ เทศกาลอาหารทะเล ลอยกระทง เทศกาลผ้อต่อ และไฮไลท์สำคัญของทุกปีที่หลายคนรอคอยนั้นก็คือ “ประเพณีถือศีลกินผัก” ถือศีลกินผัก เอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร “ประเพณีถือศีลกินผัก ช่วงแห่งการรักษากายใจให้บริสุทธิ์ ผ่านพิธีกรรมและความศรัทธา” เป็นประเพณีความเชื่อที่ถูกถ่ายทอดมาจากชาวจีนฮกเกี้ยน ซึ่งมีการจัดขึ้นทุกปี โดยมีวิถีปฏิบัติทั่วไปคืองดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์

ไอเดียสุดจัด แต่ถูกขัดด้วยขี้! พิธีเปิดโอลิมปิก 2024 กลางแม่น้ำแซน

  โอลิมปิก 2024 ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ณ เมืองปารีส เรียกได้ว่าฝรั่งเศสใส่ใจ เล่นใหญ่ จัดเต็มทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งยังได้รับเสียงชื่นชมจำนวนมากจากชาวโลก ว่าสมกับเป็นเมืองแฟชั่นที่รุ่มรวยไปด้วยประวัติศาสตร์จริงๆ กระนั้นก็ตาม ประเด็นที่หลายฝ่ายเป็นห่วง และเรียกรถทัวร์ได้ขบวนใหญ่ก็คือ การใช้ “แม่น้ำแซน” ในพิธีเปิดและการแข่งขันนี่แหละ ใช่แล้ว, คือฝรั่งเศสมุ่งหมายให้มีพิธีเปิดด้วย “ขบวนพาเหรดกลางน้ำ” และการแข่งกีฬาทางน้ำอีก 3 รายการในแม่น้ำแซน การแหวกว่ายสายน้ำกลางกรุงปารีส ดูเผินๆ ก็น่าจะงดงามอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับชาวฝรั่งเศสจำนวนหนึ่งมองว่า แม่น้ำแซนแห่งนี้สิ้นไร้ความรื่นรมย์ทางกายภาพไปตั้งนานแล้ว กล่าวคือ แสงเรืองระยิบที่กระซิบผิวน้ำ อันปรากฎอยู่ในภาพวาดคลาสสิกของแวนโก๊ะ หรือโมเนต์นั้น ปัจจุบันมีแต่แบคทีเรียและสิ่งโสโครก ซึ่งไม่น่าสำเริงกาย-สำราญใจเท่าไหร่ และหากเปรียบเทียบกัน “แม่น้ำแซน” ก็ไม่ต่างจาก “แม่น้ำเจ้าพระยา” คืออยู่กลางเมือง และผูกพันกับประวัติศาสตร์เหมือนกัน แต่จะให้นักกีฬาทั่วโลกมากระโดดลงไปว่ายน้ำในนั้นจริงๆ เหรอ อนึ่ง ฝรั่งเศสถึงขั้นออกกฎมาตั้งแต่ปี 1923 แล้วว่า ห้ามลงไปว่ายน้ำในแม่น้ำแซน เนื่องจากมีมลพิษในระดับน้ำสูงเกินไป และถึงแม้จะมีความพยายามปรับปรุงคุณภาพน้ำมาแล้วในหลายยุค-หลายสมัย แต่ก็ยังไม่เคยมีใครทำสำเร็จได้จริงเสียที อย่างไรก็ดี ทางการฝรั่งเศสวางแผนและดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2015 แล้ว ด้วยงบลงทุนราวๆ 1.5 พันล้านเงินดอลล่าร์ เพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำให้ทันโอลิมปิกที่จะเกิดขึ้น ซึ่งก็ทำให้คุณภาพน้ำดีขึ้นมาอยู่บ้าง แต่หลายฝ่ายก็ยังตั้งคำถามว่าคุณภาพน้ำนั้นดีพอจะจัดการแข่งขันแล้วจริงหรือ? ทั้งนี้ เพื่อความเชื่อมั่นระดับนานาชาติ ไม่กี่วันก่อน อเมลี อูเดีย-คาสเตรา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกีฬาของฝรั่งเศส ก็กระโดดลงไปว่ายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้วยตนเอง รวมไปถึงนายกเทศมนตรีของกรุงปารีส แอนน์ อีดัลโก ก็รับปากเช่นกันว่าจะลงไปว่ายทดสอบด้วยตัวเอง หลังจากที่เคยผ่อนผลัดมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งในวันเดียวกันนั้นเอง ก็เกิดแฮชแท็ก #JeChieDansLaSeineLe23Juin หรือแปลว่า “ฉันจะขี้ลงแม่น้ำแซน ในวันที่ 23 มิถุนายน” เพื่อเป็นการประท้วงที่รัฐบาลใช้เงินในโครงการนี้มากเกินไป เพราะบางคนเชื่อว่าอย่างไรเสีย แม่น้ำแซนก็จะกลับมาเหม็นเน่าเหมือนเดิม รวมถึงเป็นการวิพากษ์การทำงานที่ผู้เห็นค้านเชื่อว่า เป็นการทำงานแบบ “ขายผ้าเอาหน้ารอด” ของรัฐบาล แต่เอาเข้าจริง วันที่ 23 มิถุนายน ก็ไม่ได้มีการชุมนุม “ปล่อยของหนัก” ลงแม่น้ำแซนแต่อย่างใด ทว่าล่าสุด นายกเทศมนตรี

ถ้าคบกันเธอจะถือมั้ยไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ เธอนั้นถือคบเพลิง “จิน – อี้ป๋อ – จ้าวลู่ซือ” คนดังถือคบเพลิงโอลิมปิก 2024

  ก่อนการแข่งขันโอลิมปิก จะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ผู้ถือคบเพลิง (Torch Bearers) จะร่วมกันส่งต่อคบเพลิงจากโอลิมเปีย ประเทศกรีซ เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังประเทศเจ้าภาพ ซึ่งจะต้องได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการจัดการโอลิมปิกประจำปีนั้น . โอลิมปิกปารีส 2024 ปีนี้ ฝรั่งเศส เน้นหลักการให้ความสำคัญกับความแตกต่างหลากหลายในสังคม หลังฝรั่งเศสเป็นประเทศแรกในประวัติศาสตร์ที่จัดการแข่งขันพาราลิมปิก . ผู้ถือคบเพลิงในปีนี้ จึงมีทั้งนักกีฬา บุคคลผู้มีชื่อเสียง ตลอดจนประชาชนทั่วไปและผู้พิการที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด เพื่อเป็นตัวแทนความหลากหลายด้านต่างๆ . แต่ที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ ก็มีดาราดังจากฝั่งเอเชียถึง 3 คนได้ร่วมถือคบเพลิงในปีนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น . ‘จิน’ หรือ คิม ซอกจิน สมาชิกวง BTS ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้ถือคบเพลิงโอลิมปิก ปารีส 2024 ซึ่งจะถือว่าจินเป็นศิลปิน K-POP คนแรกที่ได้ถือคบเพลิง โดยจินจะเป็นตัวแทนของ ‘ความสามัคคี’ และ ‘สันติภาพ’ . ‘หวังอี้ป๋อ’ ดารานักแสดงชายจากจีนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดขณะนี้ ก็เข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้ถือคบเพลิงด้วยเช่นกัน โดยอี้ป๋อจะเป็นตัวแทนของ ‘วัยรุ่นยุคใหม่’ และ ‘แรงสนับสนุนนักกีฬา’ โดยก่อนหน้านี้ อี้ป๋อเคยถูกแต่งตั้งเป็นทูตส่งเสริมวัฒนธรรมโอลิมปิกฤดูหนาวที่กรุงปักกิ่งเมื่อปี 2022 และทูตส่งเสริมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกรอบคัดเลือกที่เซี่ยงไฮ้ 2024 มาแล้ว . รวมถึง จ้าวลู่ซือ ดาราสาวชื่อดังจากจีนเองก็ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้ถือคบเพลิงในครั้งนี้ด้วย … ในปัจจุบันการเมืองไม่ได้มาแค่ในรูปแบบของผู้นำเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นผ่านอุตสาหกรรมบันเทิง การที่จิน – อี้ป๋อ – จ้าวลู่ซือได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้ถือคบเพลิง 10,000 คน ถือได้ว่าเป็นการตอกย้ำถึงอิทธิพลของอุตสาหกรรมบันเทิงเอเชียที่มีบทบาทระดับโลกได้ไม่มากก็น้อย