Skip links

Music

Tags

“ALREADY DEADD TO HELL AND BACK” คอนเสิร์ตโคตรเดือดนรกแตก!

ค่ำคืนวันเสาร์ที่ 29 มีนาคม 2568 ณ MCC HALL THE MALL BANGKAPI กลายเป็นสนามเพลิงแห่งเสียงดนตรี กับคอนเสิร์ต “ALREADY DEADD TO HELL AND BACK” ที่รวม 6 แรปสตาร์ตัวพ่ออย่าง YOUNGOHM, GAVIN D, FIIXD, YOUNGGU, DIAMOND MQT และ NGAZ มาเดือดด้วยกัน พร้อมแขกรับเชิญสุดพิเศษมากมาย ทั้ง DABOYWAY, SPRITE, SARAN, 1MILL, NAMEMT, GUNNER, SONOFO, 4BANG, BEN BIZZY, Blackheart และ Birdman 🎤 เปิดเวทีแบบไม่ให้พัก! ประตูฮอลล์เปิดปุ๊บ เหล่าแฟนฮิปฮอปแห่เข้าจับจองพื้นที่แน่น ก่อนระเบิดความมันส์ด้วยเซ็ตเปิดตัวจากแก๊ง “ALREADY DEADD” แบบ Non-Stop 8 เพลงรวด ตามด้วยการแสดง DUO & TRIO SET ที่พาอุณหภูมิความมันส์พุ่งไม่หยุด 🎤 YOUNGGU SET – เปิดตัว Hidden Guest แบบไม่ให้พัก เริ่มด้วยเพลง “วิ่งแบบพี่ตูน” พร้อมเปิดตัว NAMEMT มาร่วมแจมใน “SONG A” ต่อด้วยการเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่จาก DABOYWAY ในเพลง “KALUM (กะหล่ำ)” ปิดเซ็ตด้วยการร่วมเวทีกับ GUNNER ใน “MOUTH 2 MOUTH” และ “CHI MI” 🎤 FIIXD & DIAMOND MQT SET – ฮิปฮอปในเวอร์ชันอคูสติก
Tags

Elliot James Reay โชว์เสียงละมุนใกล้ชิดแฟนๆ ชาวไทย กับ Fansign & Showcase ครั้งแรก!

ใครที่เป็นแฟนเพลงของหนุ่มหล่อเสียงละมุน Elliot James Reay ต้องยิ้มแก้มปริ เพราะหนุ่มอังกฤษวัย 22 ปี เจ้าของเพลงไวรัลสุดฮิต “I Think They Call This Love” ได้บินลัดฟ้ามาใกล้ชิดแฟนๆ ชาวไทยแบบเอ็กซ์คลูซีฟสุดๆ ในงาน Fansign & Showcase ครั้งแรกในประเทศไทย! 22 มกราคม 2025: Fansign สุดอบอุ่นที่ SCBX NEXT TECH วันแรกของกิจกรรมเริ่มต้นที่สยามพารากอน ชั้น 4 กับงาน “Elliot James Reay 1st Fansign in Thailand” ที่บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรักจากแฟนๆ กว่า 100 คน หนุ่ม Elliot จัดเต็มกับการร้องเพลงสด 3 เพลง ทั้งเพลงฮิตอย่าง “I Think They Call This Love,” “Boy In Love” และเพลงใหม่ที่ยังไม่ปล่อยอย่าง “Daydreaming” เสียงร้องนุ่มๆ ทำเอาแฟนๆ เคลิ้มกันทั้งฮอลล์ งานนี้ยังมีช่วงพูดคุย ขอลายเซ็น และถ่ายรูปเซลฟี่อย่างใกล้ชิด เรียกได้ว่าแฟนคลับได้ทั้งความประทับใจและโมเมนต์ดีๆ กลับบ้านไปเต็มเปี่ยม ใครได้มาเจอตัวจริงของ Elliot บอกเลยว่าหลงรักขึ้นอีกสิบเท่า! 23 มกราคม 2025: สัมภาษณ์สุดชิล และโมเมนต์ไทยๆ ของ Elliot วันที่สอง Elliot ได้พูดคุยให้สัมภาษณ์กับคลื่นวิทยุชื่อดัง MET 107 และ Eazy FM 102.5 ถึงแรงบันดาลใจการทำเพลงแนวเรโทร ’50s-’60s ที่สะท้อนความรักในดนตรีเก่าของเขาตั้งแต่เด็ก พร้อมเล่าความประทับใจที่มีต่อ “7-Eleven เมืองไทย” ที่เจ้าตัวถึงกับเอ่ยปากว่าแวะทุกครั้งที่มา! Elliot ยังบอกอีกว่าประเทศไทยคือที่ที่เขาอยากแนะนำเพื่อนๆ ให้มาสัมผัส พร้อมฝากคำขอบคุณถึงแฟนๆ
Tags

ครั้งแรกในชีวิต fellow fellow เตรียมขึ้นคอนเสิร์ต I’ll make you proud Concert 30 พ.ย. นี้ ที่ Lido Connect

อยู่ในวงการเพลงมานานถึง 11 ปีแล้ว สำหรับ 2 หนุ่มสุดป๊อป fellow fellow ‘ข้าว-ปณิธิ เลิศอุดมธนา’ (ร้องนำ) และ ‘ที-พิษณุ หทัยพันธลักษณ์’ (ร้อง, กีต้าร์) สังกัด Kicks Records (คิกส์ เรคคอร์ดส) พร้อมปล่อยอัลบั้มแรกในชีวิตของทั้งคู่แล้วมีชื่อว่า ‘PROUD’ วันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งในอัลบั้มได้รวมทุกซิงเกิลที่ปล่อยออกมา ฮิตติดชาร์ทมากมาย อาทิ ดาวหางฮัลเลย์ (Halley’s Comet) , ไม่เปลี่ยนเลย (Best Luck) , proud รวมถึงเพลงใหม่ที่ยังไม่ได้ปล่อยอีกด้วย โดยการปล่อยอัลบั้ม ‘PROUD’ ครั้งนี้ ได้มาพร้อมกับคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มด้วยเช่นกันในชื่องาน “I’ll make you proud Concert” มีกำหนดจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2567 ณ Lido Connect Hall 2 จำนวน 2 รอบการแสดงด้วยกัน ได้แก่ เวลา 14.00 น. และ เวลา 19.00 น. ราคาบัตร 950 บาท จำกัดรอบละ 500 ที่เท่านั้น เปิดจำหน่ายในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ ทาง Thaiticketmajor เวลา 10.00น. เป็นต้นไป พิเศษสุดสำหรับ 300 ท่านแรกที่ซื้อ Limited Vinyl ภายในงาน จะได้รับสิทธิ์ signed และถ่ายรูปกับศิลปินแบบ 1:1 (ศิลปินเซ็นหลังจบคอนเสิร์ตรอบ 19.00 เท่านั้น) ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางแฟนเพจและอินสตาแกรม fellow fellow #IWillMakeYouProudConcert #fellowfellow

สรุป 10 บทเรียน ‘ลิขสิทธิ์’ ต้องรู้! จากช่วงเสวนางาน GeneLabCon

GeneLabCon นอกจากจะเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ประจำปีของค่าย GeneLab แล้ว งานนี้ยังมีช่วง Hard Talk ที่น่าสนใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมดนตรี โดยช่วงเสวนาทั้งสองวัน มีการแบ่งหัวข้อดังนี้ วันแรกหัวข้อหลักคือเรื่อง “ลิขสิทธิ์เพลงเป็นของใคร?” ส่วนหัวข้อหลักวันที่สองคือ “ค่ายเพลงยังจำเป็นอยู่ไหม?” ทั้งนี้ เนื่องจากสองหัวข้อดังกล่าวมีเนื้อหาบางส่วนที่คาบเกี่ยวกัน เราจึงขอสรุปรวมประเด็นทั้งสองวันเลยแล้วกัน 1. ลิขสิทธิ์ = ทรัพย์สิน ในยุคนี้ แม้ซีดีอาจไม่ได้ขายเป็นกอบเป็นกำเหมือนสมัยก่อน แต่ข้อดีของสตรีมมิ่งก็คือ มีการจัดเก็บที่เป็นระบบระเบียบมากขึ้นผ่านองค์กรตัวแทนต่างๆ ซึ่งกระบวนการนี้สามารถนำ return มาสู่ผู้สร้างสรรค์ได้เรื่อยๆ เป็นทรัพย์สินที่สร้าง passive income และความมั่นคงในระยะยาวแก่นักแต่งเพลงได้ เพื่อไม่ให้ผู้ผลิตผลงานจำต้องปล่อยเงินหลุดมือ เหตุเพราะเสียรู้เรื่องกฎหมายอีกต่อไป ในส่วนของแฟนคลับ เพียงสนับสนุนผลงานของศิลปินที่รักผ่านช่องทาง official แค่นี้ก็เป็นแฟนด้อมที่น่ารักแล้ว 2. เกณฑ์มาตรฐาน กี่เปอร์เซ็นต์ถึงจะแฟร์? ​ เรื่องนี้คงต้องกล่าวว่า แม้แต่ระดับโลกก็ไม่มีสัดส่วนตายตัว ขึ้นอยู่กับข้อตกลง ใครทุ่มกำลังเยอะก็ควรได้เยอะ แต่คนที่ได้น้อยกว่าก็อย่าให้น้อยจนเกินไป แต่ในเบื้องต้น สำหรับศิลปิน/นักแต่งเพลง การเซ็นสัญญา ทำข้อตกลงเรื่องลิขสิทธิ์ ทุกฝ่ายบนโต๊ะเจรจาต้องรู้เท่ากัน แต่การตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจส่วนตัว การเซ็นสัญญามันคือดีล ถ้าสมประโยชน์กัน ตกลงกันได้ก็จบ ต่อให้ตัวลิขสิทธิ์เป็นของค่ายก็ตามที เพราะบางคนทำเอง โปรโมทเอง จัดเก็บเอง อาจจะได้น้อยกว่ายกให้ค่ายจัดการด้วยซ้ำ นานาจิตตัง (เรื่องการเซ็นสัญญาศิลปิน เดี๋ยวค่อยว่ากันยาวๆ ครึ่งหลัง) ในปัจจุบันนี้ มีการพยายามผลักดันให้นักแต่งเพลง ต้องได้ไม่ต่ำกว่า 15 % แต่ก็นั่นแหละ เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย เฉพาะยิ่งในบริบทสังคมไทย ซึ่งยังไม่มี ‘สหภาพนักดนตรี’ เป็นกลุ่มก้อน ที่รวมตัวกันเพื่อผลักดันเรียกร้องให้มี ‘มาตรฐานกลาง’ ในเรื่องนี้ อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับกฎหมายภาครัฐ และนโยบายเอกชนหลายฝ่าย จึงต้องใช้ความร่วมมือกันระดับมหภาคทีเดียว 3. จ้างศิลปินไปเล่น ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์อีก? หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่จ้างศิลปินไปเล่น นอกจากต้องจ่ายค่าจ้างแล้ว ค่าลิขสิทธิ์ก็ต้องจ่ายด้วยเหมือนกัน และที่สำคัญ ในกรณีที่ค่ายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ตัวศิลปินเองก็ต้องขออนุญาตค่ายก่อนใช้เพลงทุกครั้ง แม้จะเป็นเพลงที่เขียนเอง/ทำเองก็เถอะ คือค่ายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ เมื่อค่ายได้ค่าจัดเก็บลิขสิทธิ์มาแล้ว ก็จะนำมาแจกจ่ายให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งเงินก็จะวนมาถึงศิลปินเอง เพราะว่าเพลงมันคืองานกลุ่มอะเนอะ ทางที่ดีจึงควรได้กันอย่างทั่วถึงทุกฝ่าย แต่เวลาจ้างศิลปินไปเล่น เงินส่วนนี้มักจะรวมมากับค่าจ้างแล้ว

เปิดประวัติ Wonderkid วงหัวควาย “ดั๊ม คาราบาว” หนุ่ม 18 ตัวแทน “ป๋าดุก”

ดั๊ม คาราบาว ชายหนุ่มผู้เข้ามาเป็นสมาชิกคณะควายเฒ่าสุดยอดตำนาน ตั้งแต่อายุ 18 ปี หลังจากที่ลือชัย งามสม หรือ ‘ป๋าดุก’ มือคีย์บอร์ดประจำวงคาราบาว จากไปเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2567 หลังจากนั้นแฟนๆ ก็ได้รู้จักกับสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ดี วงเพื่อชีวิตระดับนี้จะเอาใครมาเล่นคีย์บอร์ดตำแหน่งนั้นก็ได้ และเชื่อว่ามีผู้แก่กล้าหลายรายซึ่งพร้อมด้วยฝีมือ แต่คาราบาวกลับเซอร์ไพรส์แฟนๆ อย่างไม่คาดคิด เพราะหวยดันมาออกที่หนุ่มคะนองวัย 18 ปี ผู้ได้รับการขนานนามจาก ‘น้าแอ๊ด’ ว่า “เด็กอัจฉริยะ” ด้วยความสามารถที่ล้นเหลือ เล่นได้ทุกเครื่องในวง เสียบแทนใครตำแหน่งไหนก็ได้หมดอย่างไม่บกพร่อง หนุ่มดั๊มจึงได้รับความไว้วางใจจากลุงๆ ให้รับผิดชอบในตำแหน่งที่ขาดหาย อย่างล่าสุด คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งสุดท้ายของเล็ก-คาราบาว ที่จัดขึ้นกับปู-พงษ์สิทธิ์ ดั๊มเองก็ได้มาเป็นหนึ่งในสมาชิกวงส้นตีน วงแบ็คอัพคอนเสิร์ตใหญ่ตลอด 3 ชั่วโมงที่อิมแพค อารีนา  แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ คงต้องกล่าวว่าไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ เพราะดั๊มไม่ได้รู้จักใครในวงเป็นการส่วนตัว ไม่ได้เป็นญาติกับใครทั้งนั้น ไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ในวงโคจรรอบข้างของสมาชิกคาราบาวได้อย่างไร ในเมื่อโอกาสไม่ได้วิ่งเข้าหาเรา ก็ต้องเป็นเราที่วิ่งหาโอกาส ซึ่งทั้งหมดนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หากปราศจากความพร้อม โอกาส และจังหวะเวลา ทว่ากว่าจะมาเป็น ‘ดั๊ม คาราบาว’ เราคงต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น (ภาพจาก facebook: Drum Aekkaman Solo) เด็กชายดั๊ม จากพนัสนิคม เด็กชาย เอกมันต์ พิเศษ เกิดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2548 เติบโตขึ้นที่อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ในครอบครัวที่ชื่นชอบเสียงเพลง และมีเครื่องดนตรีอยู่ใกล้ตัว ทำให้เด็กชายดั๊มเริ่มสนใจดนตรีตั้งแต่ 3 ขวบ และมีความคิดอยากจะเล่นกับวงคาราบาวตั้งแต่ตอนนั้น “ความคิดที่อยากจะเล่นกับคาราบาว มีมาตั้งแต่ 3 ขวบเลย” ดั๊มย้อนความหลังถึงวัยเด็กให้เราฟัง จนเมื่ออายุ 6 ขวบ ดั้มจึงได้เริ่มหัดเล่นดนตรี ในตอนแรกดั๊มอยากเป็นมือกลอง แต่ทว่าคุณพ่อดันบังคับให้เล่นกีต้าร์ เด็กน้อยจึงต้องหัดกีต้าร์เป็นอันดับแรก ทั้งฝึกเองบ้าง เรียนรู้จากคนใกล้ตัวบ้าง ต่อมาเมื่อน้องดั๊มอยู่ ป.4 ก็ได้รับโอกาสได้เล่นดนตรีกับผู้ใหญ่มากขึ้น ได้เล่นร่วมกับวงดนตรีรุ่นพี่ และวงรุ่นพ่อ ได้รับหน้าที่เป็นมือโซโล่ รวมถึงได้แสดงดนตรีตามงานต่างๆ อยู่ตลอด และถึงแม้ว่าต่อมา

ไทยแลนด์แดนคอนเสิร์ต เริ่ดทุกอย่าง ยกเว้น…

นอกจากสยามเมืองยิ้มแล้ว ‘ไทยแลนด์แดนคอนเสิร์ต’ ยังเป็น a.k.a.ใหม่ของประเทศไทยที่ได้ยินบ่อยในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เพราะในแต่ละปีมีคอนเสิร์ตกว่าหลายร้อยครั้ง ด้วยระบบแสง สี เสียงก็เป็นแถวหน้าในระดับโลก ศิลปินมาจัดคอนเสิร์ตแต่ละทีก็มีที่เที่ยว พร้อมด้วยอาหารมากมายรอต้อนรับ แถมวัฒนธรรมการดูคอนเสิร์ตที่ไม่ได้ซื้อบัตรมานั่งเฉย ๆ แต่ซื้อบัตรมาร้องเพลงแทนศิลปิน ยังสร้างความประทับใจ ชวนให้ศิลปินกลับมาซ้ำ โดยเฉพาะฝั่ง K-pop ที่ไม่ว่าจะประกาศเวิล์ดทัวร์กี่ครั้งก็ต้องมีประเทศไทย แต่ทว่า… ทั้งๆ ที่ไทยมีคอนเสิร์ตเกาหลีให้ผู้จัดและเว็บกดบัตรได้ซ้อมมือปีละหลายสิบคอน แต่แฟนคลับก็ยังต้องเจอกับปัญหาแปดล้านสิ่งที่ยังแก้ไม่ได้สักที แต่จะไปบอกศิลปินว่าอย่าเพิ่งมา มันก็ยังไงอยู่ ก็เลยรวบรวมปัญหาต่างๆ มาไว้ให้ได้ลองอ่านกันดู  กลยุทธ์การตลาด เล่นกับใจแฟนคลับ​ ศิลปินวงโปรดมาหาถึงที่ทั้งที แต่กลับประกาศว่าจะจัดคอนแค่วันเดียวให้แฟนคลับทุกสารทิศมาเป็นผู้ท้าชิงบัตรกัน ทำเอานอนไม่หลับกันเป็นวันว่าจะได้บัตรไหม แต่หลังศึกชิงบัตรจบลงได้ไม่นาน ก็จะมีผู้จัดบางเจ้าทำทีท่าว่าแอ๊บแอ้มาสะไพร้ส์ประกาศ ‘เพิ่มรอบ’ หวังเอาใจแฟนคลับ ซึ่งในครั้งแรกกลยุทธ์นี้อาจได้ผล อาจทำให้ผู้จัดได้รับเสียงชื่นชมและหยิบกลยุทธ์นี้มาใช้อีกในครั้งถัดๆ ไป  จนเมื่อแฟนคลับเริ่มจับทางได้ เมื่อนั้นเสียงชื่นชมจะเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจว่าทำไมไม่ประกาศว่ามีสองรอบตั้งแต่แรก!  ถึงจะบอกว่าเป็นกลยุทธ์ที่ทั้งผู้จัดและค่ายตกลงกันแล้ว แต่นี่อาจเป็นกลยุทธ์กระตุ้นยอดขายที่กำลังทำลายยอดขายในเวลาเดียวกัน เพราะไม่มีทางเป็นไปได้ที่ผู้จัดและค่ายจะจับมือเพิ่มดีลกะทันหันกันตรงนั้น การจัดคอนเสิร์ตแต่ละครั้งต้องเป็นข้อตกลงกันมาก่อนอยู่แล้วว่าจะจัดทั้งหมดกี่วัน  ในฐานะคนที่ติดอยู่ในวงจรกลยุทธ์นี้ ก็แอบรู้สึกว่าหรือนี่ตัวเองกำลังอยู่ในการทดลองทางจิตวิทยาบางงอย่าง เพราะ พอคอนเสิร์ตครั้งถัดไป ผู้จัดประกาศว่าจะมีคอนเสิร์ตรอบเดียวแฟนคลับก็ต้องกลับเข้าวังวนศึกชิงบัตร พอบัตรหมดก็ต้องมานั่งลุ้นว่าจะมีเพิ่มรอบหรือไม่ หรือจะหมดเพียงเท่านี้จริงๆ สูญเสียทั้งเวลา และสุขภาพใจที่ต้องมารอหวังลม ๆ แล้ง ๆ หมดความน่าเชื่อถือของผู้จัดไปอีก ร้านกดบัตรสีเทา ‘ร้านกดบัตร’ ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่รุ่งโรจน์ตามไปกับจำนวนคอนเสิร์ตที่เพิ่มมากขึ้น เพราะบางครั้งสงครามดุเดือดเกินกว่าจะสู้คนเดียว ชวนเพื่อนแล้วหนึ่ง ยังต้องจ้างร้านกดบัตรมาช่วยอีกหนึ่ง แถมบางครั้งยังกดบัตรคอนเสิร์ตวันธรรมดา งานก็ต้องทำ คอนเสิร์ตก็ต้องไป ร้านรับจ้างกดบัตรจึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ยังคงอยู่กับทุกคอนเสิร์ต ร้านกดบัตรแต่ละร้านก็จะบวกราคาเพิ่มแตกต่างกันไปตามาความดุเดือด ตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน อีกทั้งยังมีมิจที่จริงใจมีบัตรจริงฉวยโอกาสใช้ความรักของแฟนคลับกดบัตรมาอัพราคา และมิจแท้แบบ100% ที่ไม่มีบัตร แต่ใช้แคปชันเดียวกันว่า “รอใส่ชื่อ บวกค่ากด 500” ให้แฟนคลับเจ็บใจเล่น ตั้งคำถามว่าเมื่อเช้าลืมทำบุญหรือเปล่า ทำไมคนที่กดได้ดันไม่ใช่แฟนคลับแต่เป็นร้าน(หลอก)รับกดบัตร ฉันอยากให้เว็บกดบัตรสู้ “บอท” แต่คนแรกที่เว็บกดบัตรสู้กลับคือ “ฉัน” กว่าจะเข้าคิวได้ ต้องเสียเวลา รับคิวกว่า 1 ชั่วโมง แล้วยังต้องรอคิวให้น้องเขียววิ่งต่ออีกตั้งแต่ 10 นาทีไปจนถึงครึ่งชม. กว่าจะถึงหน้ากดบัตร เวลาชีวิตก็เหลือแค่ 23 ชม./วัน และใช่ว่าถึงหน้ากดบัตรแล้วจะดีใจได้ เพราะบางทีมองจากหน้าปากซอยบ้านยังเห็นว่าที่นั่งที่หายวับไปต่อต่อตา แถมมันยังเรียงคิว เรียงแถวแบบผิดสังเกต จนต้องอุทานกับตัวเองว่า ‘บอทลงอีกแล้วหรอวะะะ’

ปิดจบแบบเรียบง่าย คอนเสิร์ตสุดท้ายในชีวิต “ปู พงษ์สิทธิ์ – เล็ก คาราบาว” พี่น้องส้นตีน!

จบลงอย่างประทับใจกับงาน ‘ลีโอ พรีเซนต์ คอนเสิร์ต พี่น้องส้นตีน ไลฟ์’ คอนเสิร์ตอะคูสติกสุดเอ็กซ์คลูซีฟของสองพี่น้องตำนานเพลงเพื่อชีวิต “ปู-พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ และ เล็ก คาราบาว (ปรีชา ชนะภัย)” ที่จัดขึ้น ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 5 ถือเป็นคอนเสิร์ตในรอบหลายสิบปีที่ทั้งคู่ขึ้นโชว์ร่วมกัน และพี่เล็กก็ได้พูดในช่วงท้ายของโชว์ว่าคอนเสิร์ตนี้ จะเป็นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของเล็ก-ปู ที่จะได้ขึ้นแสดงร่วมกัน  สำหรับงาน ‘ลีโอ พรีเซนต์ คอนเสิร์ต พี่น้องส้นตีน ไลฟ์’ ถือเป็นการแสดงคอนเสิร์ตอะคูสติก ครั้งที่ 3 ของทั้งคู่ นับตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2536 ที่ทั้งคู่ได้ทำอัลบั้มบันทึกการแสดงสดอะคูสติกในห้องบันทึกเสียง ‘ปลั๊กหลุด’ ได้รับการต้อนรับที่ดีจากแฟนเพลง ทำยอดขายได้ถึงล้านตลับ และมีคอนเสิร์ตในปีเดียวกันที่ศาลาเฉลิมกรุง จากนั้นอีก 20 ปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2556 ทั้งคู่ได้กลับมาร่วมแสดงดนตรีด้วยกันอีกครั้งกับคอนเสิร์ต ปลั๊กหลุด 2 ตอน เสียบปลั๊ก (สดใส… ไม่อึกทึก) ที่ยังคงความอบอุ่น เป็นกันเอง และอีก 11 ปีต่อมา จากคอนเสิร์ต ’ปลั๊กหลุด’ สู่ ‘พี่น้องส้นตีน’ ในปี พ.ศ. 2567 อีกหนึ่งคอนเสิร์ตอะคูสติกแห่งปีที่ให้แฟนๆ ได้ดื่มด่ำกับบทเพลงที่คุ้นเคย ในบรรยากาศที่ใกล้ชิด เต็มอิ่มทั้งโปรดักชั่น แสง สี เสียง แล้วก็ได้เวลาที่สองพี่น้องส้นตีนบรรเลง ทั้งคู่เดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับกีตาร์โชว์หลากหลายบทเพลงดังของทั้งคู่มาเล่นให้ฟังแบบอะคูสติก อาทิ มาตามสัญญา, วันต่อวัน, ฉันเลือกเอง, สุดใจ, โยโกฮาม่า, ดอกแก้ว และเพลง แม่ จากนั้นก็ถึงช่วงแลกกันร้อง โดย เล็ก คาราบาว หยิบเพลง “ไถ่เธอคืนมา” มาร้องใหม่ในสไตล์ของพี่เล็กเอง ส่วน ปู พงษ์สิทธิ์ ก็นำเพลง ‘คนเก็บฟืน’ มาบรรเลงในรูปแบบที่แตกต่างจากที่เคยฟัง ต่อด้วยอีกหนึ่งความพิเศษของงาน ‘ลีโอ

ตกหลุม “LUSS” ปั้น-เบน 2 นักวิทย์เนิร์ดคลั่งดนตรี เจ้าของ-เบื้องหลัง ไวรัลเพลงดังวงการ T-POP

  ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ต่อให้ไม่ได้ติดตามวงการเพลงไทย หรือ T-POP ก็ต้องเคยได้ยินได้เห็นเพลงฮิตของศิลปินวงหนึ่งผ่านหู ผ่านตากันมาบ้าง ไม่ว่าจะด้วยเสียงร้อง การเลือกใช้คำ หรือท่วงทำนองอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ว่าจะได้ยินเมื่อไหร่ ก็เป็นอันรู้กันทันทีว่าเป็นเพลงของ “LUSS” อย่างเพลง “เตลิด” , “ไข่พะโล้” , “หยอก หยอก” ฯลฯ . สไตล์เฉพาะตัวแบบ LUSS ไม่เพียงแต่ทำให้ LUSS โดดเด่นเท่านั้น แต่ผลงานเบื้องหลังในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และมิวสิค ไดเรคเตอร์ ของ ‘ปั้น–นลพรรณ อัมพุช’ หรือ COCOBUNNY และ ‘เบน–ศิรสิทธิ์ ตั้งบุญดวงจิตต์’ หรือ  BENLUSSBOY ยังโดดเด่นไม่แพ้กัน ทำให้ทั้งสองคนกลายเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเพลงดังมาแล้วนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น จำเลยรัก – F.HERO Ft. Txrbo BOOTY BOMB – 4EVE LOLAY – ATLAS It’s Okay Not To Be Alright – PP Krit ฟ้ารักพ่อ – Badmixy feat. ยุ้ย ญาติเยอะ ฯลฯ . The Attraction เลยชวน ปั้น และ เบน สองคู่หูแห่งวงการเพลงไทยที่น่าจับตามองมากที่สุดในขณะนี้ มาพูดคุยถึงความเป็น LUSS และการอยู่เบื้องหลัง T-POP ไปจนถึงอัลบั้มใหม่ที่กำลังจะปล่อยในปี 2024 นี้ … 「 LUSS แท้ มันคืออะไร 」 ปั้น: ถ้าเปรียบเทียบ “LUSS” ก็คงเหมือน “นักวิทยาศาสตร์” แต่เป็นสายดนตรี

OneRepublic มาไทยอีกแล้ว FC แซว มาซื้อบ้านที่ไทยเถอะพี่

  เป็นไปตามคาด หลังจากเทศกาลดนตรี Summer Sonic Bangkok 2024 ประกาศไลน์อัพเซ็ตที่ 2 ออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว ปรากฏว่าวงดนตรีสัญชาติอเมริกาอย่าง onerepublic ติดโผตามคาด หลังจากที่ไม่กี่เดือนก่อน ทางวงแอบเปรยๆ มาว่ากำลังจะมีประกาศใหญ่เพื่อแฟนๆ ชาวไทยโดยเฉพาะ ทำให้หลายฝ่ายเดากันไปต่างๆ นาๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในแดนสยาม . โดยเฉพาะยิ่ง Ryan Tedder นักร้องนำของวง ที่แฟนๆ ชาวไทยมักจะเรียกขานว่า “พี่อั้น” ก็เพราะว่าฟอนต์แมนวัย 45 กะรัตผู้นี้ บินมาที่ประเทศไทยบ่อยเสียจนนับครั้งไม่ถ้วน ถึงขนาดที่มีการสงสัยกันว่า แกแอบมาติดใจสาวไทยแล้วแน่ๆ 🤣🤣เพราะแม้แต่ 1 Day Trip ในประเทศไทย พี่ท่านก็เคยทำมาแล้ว คือมีเวลาแค่ 24 ชั่วโมง ก็ยังบินมาใช้เวลาที่บ้านเราอะคิดดู มันจะไม่ให้สงสัยได้ยังไงกันเล่า ฮ่าๆ . อย่างไรก็ดี พี่อั้นก็ไม่ได้มาเที่ยวเตร่อย่างเดียว เนื่องเพราะล่าสุด ในผลงานเพลง Rockstar ของ Lisa ยังปรากฎชื่อ Ryan Tedder เป็นหนึ่งในทีมโปรดิวเซอร์ ที่มีส่วนร่วมในการแต่งเพลงด้วย ก็นับว่าเหมาะสมกับเพลงนี้เป็นอย่างดี . การมาเล่นคอนเสิร์ตที่ไทยครั้งที่จะถึงนี้ก็นับว่าเป็นครั้งที่ 3 ของวง onerepublic หลังจากที่เคยมาแสดงสดเมื่อปีที่ผ่านมา 2023 และเมื่อปี 2017 . แน่นอนว่าความรักที่สมาชิกวงมีต่อประเทศไทย คงไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะตัวนักร้องนำ ที่ควรจะซื้อบ้านในไทยให้มันจบๆ ไปนะพี่นะ 🤣🤣  

วอร์นเนอร์ มิวสิค ประเทศไทย เปิดตัวที่เสพคอนเสิร์ตแบบฉ่ำๆ “Chang Cold Brew Cool Club presents Volume Livehouse”

วอร์นเนอร์ มิวสิค ประเทศไทย หนึ่งใน Warner Music Group ค่ายเพลงชั้นนำระดับโลก จับมือกับศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา ไลฟ์สไตล์มอลล์ ศูนย์การค้าที่ตอบสนองการใช้ชีวิตประจำวัน ของคนรุ่นใหม่ในทุกช่วงเวลาได้อย่างครบวงจร เปิดตัว “VOLUME LIVEHOUSE” ไลฟ์เฮาส์ กลางใจเมือง เพื่อสร้างแหล่งคอมมูนิตี้ทางดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สำหรับผู้ที่ชื่นชอบ การเสพย์ดนตรีและดื่มด่ำไปกับบรรยากาศการฟังเพลงแบบสดๆ จัดเต็ม 50 สัปดาห์ พร้อม LINEUP กองทัพศิลปินกว่า 100 ศิลปิน “VOLUME LIVEHOUSE” มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะเป็นศูนย์กลางคอมมูนิตี้ทางดนตรีที่ใหญ่ ที่สุดของไทย ให้เหล่าศิลปินได้ใช้เป็นพื้นที่เพื่อแสดงออกทางตัวตนและความสามารถและ ให้ผู้ฟังได้ใช้พื้นที่นี้ ในการแสดงออกถึงรสนิยมทางดนตรีที่หลากหลายไร้ขีดจำกัด อย่างที่เราได้เห็น ตัวอย่างจาก LIVEHOUSE ในต่างประเทศ ที่เข้าถึงได้ง่ายและมีเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทำให้ ศิลปิน และผู้ฟังได้มีปฏิสัมพันธ์กัน และเกิดเป็นประโยชน์ในการช่วยสร้างฐานแฟนเพลง รวมถึงสร้างการค้นพบให้กับศิลปินหน้าใหม่ที่ยังไม่ได้มีโอกาสหรือมีพื้นที่ในการแสดงตัวตนและนำเสนอผลงานมากนัก    LIVEHOUSE จึงเป็นกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยเสริมสร้าง และผลักดัน อุตสาหกรรมดนตรีในหลายๆ ประเทศ วอร์นเนอร์ มิวสิค ประเทศไทย และ Warner Music Group ที่มีค่านิยมหลักขององค์กร ในการให้ศิลปินได้แสดงออกถึงความเป็นตัวตนของตนเองอย่างเต็มที่ (originality) ได้เล็งเห็นแล้วว่า อุตสาหกรรมดนตรีในประเทศไทย เป็นประเทศที่มีศิลปินที่มีศักยภาพอยู่เป็นจำนวนมาก  การมี LIVEHOUSE  ในประเทศไทย จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งศิลปินหน้าใหม่ ได้มีพื้นที่ในการโชว์ของ และ ขยายฐานผู้ฟัง ส่วนผู้ฟังเองก็ยังได้เปิดโอกาสตัวเองให้ได้รู้จักกับศิลปินใหม่ๆ ซึ่งอาจจะกลาย เป็นศิลปินโปรดก็เป็นได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนันวงการดนตรีในประเทศไทย ให้เดินหน้าต่อไปได้ และในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางด้านอุตสาหกรรมเพลง “วอร์นเนอร์ มิวสิค” จึงอยากที่จะสร้าง ประสบการณ์ใหม่ให้กับ LIVEHOUSE ในประเทศไทยให้เป็น LIVEHOUSE ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้  โดยมีจุดเด่นคือการจัด LINEUP ของศิลปินให้มีความหลากหลายในทุกสัปดาห์ ครบทุกแนวเพลง ซึ่งจะมีตั้งแต่ศิลปินรุ่นใหม่ที่เป็น YOUNG BLOOD รวมไปถึงศิลปินชั้นแนวหน้าระดับ HEADLINER ที่จะมาพบปะกับแฟนเพลงแบบที่ไม่ต้องรอจนถึงคอนเสิร์ตใหญ่ ประกอบกับสถานที่ตั้งของ LIVEHOUSE