Skip links

PR

เที่ยวคริสต์มาสสไตล์เยอรมัน จิบเบา เคล้าไส้กรอก ชมบอลสดบาเยิร์นแบบฟินๆ

เชิญสัมผัสบรรยากาศสุดฟิน กับตลาดคริสต์มาสสไตล์เยอรมัน ซึ่งปีนี้ สถาบันเกอเธ่ ประเทศไทย ได้ร่วมกับมูลนิธิวัฒนธรรมไทย-เยอรมัน (Thai-German Cultural Foundation: TDKS) ร่วมส่งมอบความความสุขและความบันเทิงภายในงานคริสต์มาสแสนอบอุ่น ผสานวัฒนธรรมแบบคูลๆ ให้เข้ากับเมืองร้อน ด้วยกิจกรรมสุดพิเศษและบูธต่างๆ กว่า 50 บูธ 🍽️🥂ลิ้มรสอาหารสุดพิเศษ 🍖🍷 เพลิดเพลินไปกับเมนูตามฤดูกาล อาทิ ไวน์อุ่น คุกกี้ขนมขิง อัลมอนด์อบ หมูอบสไตล์บาวาเรีย เคบับเบอร์ลิน ไส้กรอก ขนมอบแบบเยอรมัน ไอศกรีม และเมนูอาหารในเทศกาลคริสต์มาสจากยุโรปอีกมากมาย ที่รังสรรค์โดยร้านอาหารเยอรมันและไทย ทั้งหมดนี้สามารถรับประทานและดื่มด่ำไปพร้อมกับเบียร์พอลลาเนอร์ ไวน์ หรือแอปเปิ้ลสปริตเซอร์ อันเป็นเครื่องดื่มขึ้นชื่อของเยอรมัน 🎁🎈ลุ้นรับของรางวัล🎊🎉 อีกหนึ่งไฮไลท์ของงานคือการจับฉลากของรางวัลประจำปี 2567 ด้วยของรางวัลมากมายสำหรับผู้เข้าร่วมงานทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ระลึกจากสโมสรฟุตบอล FC Bayern Munich คอร์สเรียนภาษาเยอรมันฟรี สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และของรางวัลใหญ่คือตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-มิวนิก จำนวน 2 ที่นั่ง สนับสนุนโดยสายการบินลุฟท์ฮันซ่า 👨‍👩‍👧‍👦🥳ความสนุกสำหรับทั้งครอบครัว🕺🪇 งานนี้มีกิจกรรมหลากหลายเพื่อความเพลิดเพลินของผู้เข้าร่วมงาน ทั้งการแสดงดนตรีสดจากคณะนักร้องประสานเสียงและวงดนตรี รวมถึงกิจกรรมสำหรับทุกคนในครอบครัว ผู้เข้าร่วมงานสามารถเรียนรู้วิธีประดิษฐ์ของตกแต่งคริสต์มาสและงานฝีมือต่างๆ นอกจากนี้ยังมีไอเดียของขวัญสุดพิเศษ เครื่องประดับ บอร์ดเกม และสินค้าหัตถกรรมอื่นๆ โดยปีนี้ สำหรับคอบอลสามารถรับชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันระหว่างสโมสรฟุตบอล FC Bayern Munich กับ FC Heidenheim จากการสนับสนุนของ FC Bayern Munich ส่วนบูธของยาหม่องตราเสือ ก็มาพร้อมให้ความผ่อนคลายด้วยบริการนวดสั้นๆ รวมถึงทาง Audi ยังนำรถรุ่นใหม่อย่าง TT มาให้รับจัดแสดงภายในงาน 🎄🌟ต้นคริสต์มาส🎇🎅 จุดเด่นของตลาดคริสต์มาสปีนี้คือการออกแบบต้นคริสต์มาสด้วยฝีมือของศิลปินไทย คุณวิชชุลดา ปัณฑธานุวงศ์ ผ่านแนวคิดการสร้างสรรค์ผลงานจากขยะพลาสติก เพื่อย้ำเตือนถึงความสำคัญของความยั่งยืน และชวนตระหนักว่า สิ่งดีๆ สามารถเกิดขึ้นได้จากสิ่งที่ดูไร้ค่า 🧑🏻‍🤝‍🧑🏽🫂ตลาดคริสต์มาสหลอมรวมวัฒนธรรม🎁🔔 ตลาดคริสต์มาสเยอรมัน เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศเทศกาล และสัมผัสเสน่ห์ของฤดูกาลแห่งความสุขด้วยบรรยากาศที่คึกคักและอบอุ่น อีกทั้งยังเป็นพื้นที่แห่งการพบปะและหลอมรวมวัฒนธรรม ซึ่งผู้คนสามารถมารวมตัวกัน สังสรรค์และดื่มด่ำกับบรรยากาศคริสต์มาส พร้อมค้นพบประสบการณ์ใหม่ๆ นอกจากนี้ ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพระหว่างประเทศและความเข้าใจทางวัฒนธรรมที่แตกต่างอีกด้วย … 📍
Tags

ครั้งแรกในชีวิต fellow fellow เตรียมขึ้นคอนเสิร์ต I’ll make you proud Concert 30 พ.ย. นี้ ที่ Lido Connect

อยู่ในวงการเพลงมานานถึง 11 ปีแล้ว สำหรับ 2 หนุ่มสุดป๊อป fellow fellow ‘ข้าว-ปณิธิ เลิศอุดมธนา’ (ร้องนำ) และ ‘ที-พิษณุ หทัยพันธลักษณ์’ (ร้อง, กีต้าร์) สังกัด Kicks Records (คิกส์ เรคคอร์ดส) พร้อมปล่อยอัลบั้มแรกในชีวิตของทั้งคู่แล้วมีชื่อว่า ‘PROUD’ วันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งในอัลบั้มได้รวมทุกซิงเกิลที่ปล่อยออกมา ฮิตติดชาร์ทมากมาย อาทิ ดาวหางฮัลเลย์ (Halley’s Comet) , ไม่เปลี่ยนเลย (Best Luck) , proud รวมถึงเพลงใหม่ที่ยังไม่ได้ปล่อยอีกด้วย โดยการปล่อยอัลบั้ม ‘PROUD’ ครั้งนี้ ได้มาพร้อมกับคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มด้วยเช่นกันในชื่องาน “I’ll make you proud Concert” มีกำหนดจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2567 ณ Lido Connect Hall 2 จำนวน 2 รอบการแสดงด้วยกัน ได้แก่ เวลา 14.00 น. และ เวลา 19.00 น. ราคาบัตร 950 บาท จำกัดรอบละ 500 ที่เท่านั้น เปิดจำหน่ายในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ ทาง Thaiticketmajor เวลา 10.00น. เป็นต้นไป พิเศษสุดสำหรับ 300 ท่านแรกที่ซื้อ Limited Vinyl ภายในงาน จะได้รับสิทธิ์ signed และถ่ายรูปกับศิลปินแบบ 1:1 (ศิลปินเซ็นหลังจบคอนเสิร์ตรอบ 19.00 เท่านั้น) ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางแฟนเพจและอินสตาแกรม fellow fellow #IWillMakeYouProudConcert #fellowfellow

Content Project Market เปิดตลาดคอนเทนต์ไทย หมดยุคพายเรือในอ่าง

  “หนังดี มีรางวัล แต่ไม่มีคนดู” “ละครดัง มีคนดู แต่ก็วนอยู่กับที่” ปัญหาสารพัดสารเพของวงการคอนเทนต์ไทย ตลอดจนความเห็นจากหลายทิศหลายทาง จริงบ้าง มั่วบ้าง ปะปนกันไป แต่อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งหมดนั้นทำให้ศรัทธาของชาวไทยในคอนเทนต์บ้านเกิดเสื่อมสลายไปไม่น้อย เฉพาะยิ่งในยุคสตรีมมิ่งอย่างปัจจุบัน  แต่หากว่ากันตามตรง แท้จริงแล้วคอนเทนต์ไทยในทุกวันนี้ สามารถตีกระแสต่างชาติได้ดีกว่าช่วงก่อนๆ มากนัก ทั้งยอดสตรีมมิ่ง การเข้าฉายต่างประเทศ นำส่งไปยังเทศกาลระดับนานาชาติ รวมถึงการขายลิขสิทธิ์นำไปรีเมค หลายๆ เรื่องแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคอนเทนต์ไทย อันสามารถฉายแววในเวทีโลกได้อย่างไม่เคอะเขิน ซึ่งที่ผ่านมาเป็นไปในลักษณะต่างคนต่างทำ หาช่องทางกันตามมีตามเกิด และกระจัดกระจาย จึงเป็นเหตุผลให้ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์(องค์การมหาชน) หรือ CEA จัดให้มีการจับคู่ธุรกิจ(business matching) เปิดตลาดซื้อขายคอนเทนต์เป็นครั้งแรกของประเทศในชื่อ Content Project Market ภายใต้โครงการ Content Lab 2024  โดย Content Project Market เปิดพื้นที่ให้นักสร้างสรรค์คอนเทนต์ไทยได้นำเสนอผลงาน ทั้งบทภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือแอนิเมชันของตนเอง รวมไปถึงไอเดีย คอนเซ็ปต์ (Pitch Deck) ที่ยังอยู่ในขั้นพัฒนา พรีเซนต์/พิทชิ่งต่อนักธุรกิจ-นักลงทุนในแวดวงอุตสาหกรรมคอนเทนต์ และสตรีมมิงแพลตฟอร์มทั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวน 64 บริษัท เพื่อต่อยอดผลงานสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ในตลาดคอนเทนต์ต่อไป ทั้งนี้ ยังมีหลักสูตรพัฒนาทักษะให้สอดรับกับอุตสาหกรรมคอนเทนต์ในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ผ่านโครงการบ่มเพาะ (Incubation Programs) 4 โครงการ และโครงการสร้างโอกาสทางธุรกิจ 1 โครงการ ได้แก่  Content Lab: Newcomers แคมป์สำหรับคนทำหนังและซีรีส์หน้าใหม่  Content Lab: Mid-Career โครงการพัฒนาโปรเจ็กต์ภาพยนตร์และซีรีส์ สำหรับบุคลากรวิชาชีพระดับกลางในสายโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ และนักเขียนบท  Content Lab: Animation เวิร์กช็อปพัฒนาซีรีส์โปรเจ็กต์สำหรับสายงานด้านแอนิเมชันในกลุ่ม Mid-Career และ  Content Lab: Advanced Scriptwriting เวิร์กช็อปพัฒนาการเขียนบทระดับมืออาชีพโดยวิทยากรจากไทยและต่างประเทศ โครงการดังกล่าว นับว่าเป็นครั้งแรกที่อุตสาหกรรมคอนเทนต์ไทยจะได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างเป็นระบบ ทั้งองคาพยพตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เพื่อยกระดับมาตรฐานคอนเทนต์ไทยให้สามารถเจาะกลุ่มตลาดต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม

นับถอยหลังสู่ประเพณีถือศีลกินผัก จ.ภูเก็ต จากวิถีศรัทธาแห่งชุมชน สู่เทศกาลที่นักเดินทางทั่วโลกต้องมาสัมผัส

เตรียมตัวให้พร้อม! เพราะใกล้เข้ามาแล้วสำหรับเทศกาลไฮไลท์ประจำปีของเมืองภูเก็ต “ประเพณีถือศีลกินผัก” ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ หนึ่งในประเพณีสำคัญที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น วัฒนธรรม วิถีชีวิต ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นเมืองเทศกาลของภูเก็ต ซึ่งมีวัฒนธรรมอันรุ่มรวย พร้อมด้วยระบบบริหารจัดการที่เพียบพร้อม เตรียมต่อยอดสู่การเป็นแลนด์มาร์คระดับโลก  จากเมืองเล็กๆ ที่หลอมรวมผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรมประเพณี พร้อมด้วยมาตรฐานการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยแก่งานเทศกาล สู่การยกระดับอัตลักษณ์ท้องถิ่น ให้เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องลองมาสัมผัสสักครั้ง เรียกว่าเป็นการขับเคลื่อนศักยภาพเมืองภูเก็ตในรูปแบบ more local, more global อย่างแท้จริง ทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่พัก โรงแรม รีสอร์ท โครงสร้างพื้นฐาน หรือระบบคมนาคมซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนต่างๆ พร้อมรองรับผู้เข้าร่วมงาน หรือนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากทั่วโลก ทั้งนี้ “ประเพณีถือศีลกินผัก” นับว่าสะท้อนเอกลักษณ์ของเมืองภูเก็ตได้เป็นอย่างดี เนื่องจากปัจจัยทางวัฒนธรรมต่างๆ ที่ประกอบสร้างภาพจำเมืองภูเก็ต ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญ และแสดงให้เห็นถึงวิถีชุมชนอันแตกต่าง หากแต่สอดประสานและอยู่รวมกันเป็นหนึ่ง กระทั่งกลายเป็นเอกลักษณ์ที่สะท้อนภาพแห่งสังคมพหุวัฒนธรรมประจำเมืองภูเก็ต จนกล่าวได้ว่า “ภูเก็ตคือเมืองเทศกาลที่รุ่มรวยไปด้วยวัฒนธรรม” Diversity of Phuket, Diversity of Thailand   ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ถือว่าเป็นหนึ่งในมนต์เสน่ห์แห่งภูเก็ต ซึ่งผสานความแตกต่างเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว และหากกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว เมืองภูเก็ตแห่งนี้ก็สะท้อนแก่นแท้ความเป็นไทยในภาพรวมได้อย่างลุ่มลึก เพราะคอนเซ็ปต์ของความเป็นไทยคงมิใช่อะไรอื่น นอกเสียจากการหลอมรวมความแตกต่างหลากหลายของผู้คนและวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน และเมืองภูเก็ตเองก็ผนวกความเป็นพหุวัฒนธรรมในพื้นถิ่นและนำเสนอออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมไทยแบบศาสนาพุทธ หรือวัฒนธรรมชาวมลายูแบบมุสลิม ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีบทบาทสำคัญในสังคม ทั้งวัฒนธรรม อาหาร วิถีชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังมีสถาปัตยกรรมแบบชิโน-ยูโรเปียน หนึ่งในเอกลักษณ์ของภูเก็ต ซึ่งผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมจีน มาเลเซีย และอิทธิพลทางยุโรปจากโปรตุเกส ดัตช์และอังกฤษ อันสามารถพบเห็นได้ตามย่านเมืองเก่า  โดยเฉพาะยิ่งวัฒนธรรมของชาวจีนฮกเกี้ยน ซึ่งได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในภูเก็ตมากขึ้น ณ ช่วงที่ทางการส่งเสริมให้ทำเหมืองแร่ดีบุก ชาวจีนฮกเกี้ยนจึงถือเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ส่งผลให้สถานะทางเศรษฐกิจของเมืองภูเก็ตรุ่งเรืองขึ้นจนเป็นหัวเมืองใหญ่แห่งหนึ่งในภูมิภาค และอิทธิพลดังกล่าวยังส่งผลต่อศิลปวัฒนธรรมเมืองภูเก็ตในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น อาหาร, สถาปัตยกรรม, ความเชื่อ, รวมถึงวัตรปฏิบัติต่างๆ ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้ เมืองภูเก็ตจึงกลายเป็นเมืองเทศกาลระดับโลก ซึ่งโอบรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมผ่านการจัดงานประเพณีต่างๆ ตลอดทั้งปี อาทิ ประเพณีลอยเรือ งานแข่งขันเรือใบ เทศกาลอาหารทะเล ลอยกระทง เทศกาลผ้อต่อ และไฮไลท์สำคัญของทุกปีที่หลายคนรอคอยนั้นก็คือ “ประเพณีถือศีลกินผัก” ถือศีลกินผัก เอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร “ประเพณีถือศีลกินผัก ช่วงแห่งการรักษากายใจให้บริสุทธิ์ ผ่านพิธีกรรมและความศรัทธา” เป็นประเพณีความเชื่อที่ถูกถ่ายทอดมาจากชาวจีนฮกเกี้ยน ซึ่งมีการจัดขึ้นทุกปี โดยมีวิถีปฏิบัติทั่วไปคืองดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์

MI GROUP เผยข้อมูลเชิงลึก ‘“เคล็ดลับมัดใจผู้บริโภคยุคดิจิทัลด้วยภูธรเอนเตอร์เทน”

ในยุคที่ความสนใจของผู้บริโภคถูกแบ่งซอยย่อยลงเรื่อยๆ  โปรเจ็คล่าสุดของ MI GROUP ในการลงพื้นที่โดยทีม “MI LEARN LAB” เพื่อแสวงหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ สู่การทำการตลาดอย่างมีกลยุทธ์และเข้า-ถึง-ใจผู้บริโภคผ่าน Entertainment & Cultural Marketing กับการศึกษาล่าสุด ‘การตลาดผ่านคอนเสิร์ตหมอลำ’ เผยให้เห็นข้อมูลเชิงลึกที่ทรงพลัง เพื่อการวางแผนกลยุทธ์การตลาดสำหรับแบรนด์ที่ต้องการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคในท้องถิ่น นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า “วิกฤตโควิด19  เกิดผลกระทบในวงกว้าง รวมถึงอุตสาหกรรมความบันเทิงท้องถิ่น ณ ปัจจุบันภาพรวมของ Local Culture & Entertainment Activations กลับมาได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ    ดังจะเห็นได้จากที่เจ้าของคณะฯ มหรสพภาคอีสาน ลงทุนอย่างสูงเพื่อปรับปรุง การผลิตโชว์ เครื่องแต่งกาย ไฟ เครื่องเสียง ยิ่งเป็นการทำให้ความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลถึงปริมาณจำนวนงานจ้างเพิ่มขึ้นประมาณ 40-45% , จำนวนผู้ชมเพิ่ม 30% ,ปริมาณเงินที่ผู้ชมนำไปจับจ่ายในงานเพิ่ม 40-50% (ซื้อสินค้าที่สปอนเซอร์ตั้งบูธจำหน่ายในงาน และอื่นๆ ) และ ค่าบัตรผ่านหรือทำบุญ เพิ่มขึ้น 20-30%    ในช่วงหลังวิกฤตโควิด19 MI LEARN LAB ประเมินคนในท้องถิ่นทั่วไทยกว่า 20 ล้านคน ทั้งผู้ที่ยังพำนักอาศัยอยู่ในท้องถิ่น และที่ผู้เดินทางไปทำงานต่างภูมิลำเนา ให้ความสนใจและเกี่ยวข้องกับ Local Culture & Entertainment Activations ในวิถีที่แตกต่างกัน ผ่านประสบการณ์โดยตรงและผ่านช่องทางดิจิตัล โดยเฉพาะทางภาคอีสานมีตัวเลขสูงถึงกว่า 10 ล้านคน” นางสาววรินทร์ ทินประภา ประธานเจ้าหน้าที่เพื่อการเติบโตองค์กร กล่าวเพิ่มว่า “การตัดสินใจลงพื้นที่ภาคอีสานครั้งนี้ ทาง MI GROUP ส่งทีมงานมากถึง 60 คนเพื่อร่วมตามหา insight ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ให้กับนักการตลาดและลูกค้าของเรา เราได้เจอข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่าง แต่ข้อสรุปที่สำคัญคือคอนเสิร์ตท้องถิ่นในยุค 2024 คือการผสมผสานการสร้างประสบการณ์ร่วมกันของวงหมอลำและผู้ชมผ่านทาง on-ground และ online platform ผู้ชมทุก generation ยังคงให้ความสำคัญของการสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นนี้

ปิดจบแบบเรียบง่าย คอนเสิร์ตสุดท้ายในชีวิต “ปู พงษ์สิทธิ์ – เล็ก คาราบาว” พี่น้องส้นตีน!

จบลงอย่างประทับใจกับงาน ‘ลีโอ พรีเซนต์ คอนเสิร์ต พี่น้องส้นตีน ไลฟ์’ คอนเสิร์ตอะคูสติกสุดเอ็กซ์คลูซีฟของสองพี่น้องตำนานเพลงเพื่อชีวิต “ปู-พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ และ เล็ก คาราบาว (ปรีชา ชนะภัย)” ที่จัดขึ้น ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 5 ถือเป็นคอนเสิร์ตในรอบหลายสิบปีที่ทั้งคู่ขึ้นโชว์ร่วมกัน และพี่เล็กก็ได้พูดในช่วงท้ายของโชว์ว่าคอนเสิร์ตนี้ จะเป็นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของเล็ก-ปู ที่จะได้ขึ้นแสดงร่วมกัน  สำหรับงาน ‘ลีโอ พรีเซนต์ คอนเสิร์ต พี่น้องส้นตีน ไลฟ์’ ถือเป็นการแสดงคอนเสิร์ตอะคูสติก ครั้งที่ 3 ของทั้งคู่ นับตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2536 ที่ทั้งคู่ได้ทำอัลบั้มบันทึกการแสดงสดอะคูสติกในห้องบันทึกเสียง ‘ปลั๊กหลุด’ ได้รับการต้อนรับที่ดีจากแฟนเพลง ทำยอดขายได้ถึงล้านตลับ และมีคอนเสิร์ตในปีเดียวกันที่ศาลาเฉลิมกรุง จากนั้นอีก 20 ปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2556 ทั้งคู่ได้กลับมาร่วมแสดงดนตรีด้วยกันอีกครั้งกับคอนเสิร์ต ปลั๊กหลุด 2 ตอน เสียบปลั๊ก (สดใส… ไม่อึกทึก) ที่ยังคงความอบอุ่น เป็นกันเอง และอีก 11 ปีต่อมา จากคอนเสิร์ต ’ปลั๊กหลุด’ สู่ ‘พี่น้องส้นตีน’ ในปี พ.ศ. 2567 อีกหนึ่งคอนเสิร์ตอะคูสติกแห่งปีที่ให้แฟนๆ ได้ดื่มด่ำกับบทเพลงที่คุ้นเคย ในบรรยากาศที่ใกล้ชิด เต็มอิ่มทั้งโปรดักชั่น แสง สี เสียง แล้วก็ได้เวลาที่สองพี่น้องส้นตีนบรรเลง ทั้งคู่เดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับกีตาร์โชว์หลากหลายบทเพลงดังของทั้งคู่มาเล่นให้ฟังแบบอะคูสติก อาทิ มาตามสัญญา, วันต่อวัน, ฉันเลือกเอง, สุดใจ, โยโกฮาม่า, ดอกแก้ว และเพลง แม่ จากนั้นก็ถึงช่วงแลกกันร้อง โดย เล็ก คาราบาว หยิบเพลง “ไถ่เธอคืนมา” มาร้องใหม่ในสไตล์ของพี่เล็กเอง ส่วน ปู พงษ์สิทธิ์ ก็นำเพลง ‘คนเก็บฟืน’ มาบรรเลงในรูปแบบที่แตกต่างจากที่เคยฟัง ต่อด้วยอีกหนึ่งความพิเศษของงาน ‘ลีโอ
Tags

BIG MOTOR SALE 2024 ยกโชว์รูมมาขายที่ไบเทคบางนา

ยานยนต์สแควร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้จัดงาน “บิ๊กมอเตอร์เซล 2024” เปิดมิติใหม่สุดตื่นตา จัดทัพโชว์รูมแบรนด์ดัง นำยนตกรรมโมเดลล่าสุดร่วมจัดแสดงครบครัน ทั้งรถยนต์ รถอเนกประสงค์ ยานยนต์ไฟฟ้าและมอเตอร์ไซค์ ตอบโจทย์งานแสดงยานยนต์ที่ให้ความสะดวก..สบาย สามารถเลือกได้ครบตรงใจในที่เดียว พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ตลอด 10 วัน ตั้งแต่ 23 สิงหาคม – 1 กันยายน 2567 ที่ ไบเทค บางนา    นายจรวย ขันมณี  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยานยนต์สแควร์ กรุ๊ป จำกัด และประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงาน เผยว่า “…เพื่อขานรับกระแสการเปิดตัวยานยนต์รุ่นใหม่จากหลากหลายแบรนด์ที่เข้าร่วมในปีนี้จึงเนรมิตพื้นที่จัดงานเป็นโชว์รูมขนาดใหญ่ ให้ผู้สนใจได้เลือกชมเลือกซื้ออย่างสะดวกสบาย โดยในงานปีนี้มีโชว์รูมยานยนต์ชั้นนำกว่า 30 แบรนด์ เช่น  ROLLS-ROYCE, BYD, HONDA, MG, SUZUKI, BMW, MINI, AION, NISSAN, TOYOTA, NETA, MITSUBISHI, MERCEDES-BENZ, FORD, MASERATI, KIA,   HYUNDAI, CHANGAN, ZEEKR, VOLVO, XPENG, PEUGEOT, PORSCHE, JEEP, ASTON MARTIN, VOLT, WULING, DEEPAL, VINFAST,    แบรนด์มอเตอร์ไซค์เช่น HONDA,  YAMAHA,  BMW  Motorrad,   ROYAL ENFIELD,   BENELLI,   DECO,   SUPER SOCO,   KEEWAY,  FELO,   HUSQVARNA,   RAPID, EM BIKE

“สงกรานต์ 21 วัน” ประชาสัมพันธ์ห่วย หรือเพราะอะไร? จะดีกว่านี้ไหมถ้ามี…?

สงกรานต์ปีนี้ผ่านพ้นไปอย่างคึกคักในหลายพื้นที่ คงต้องชื่นชมหลายฝ่ายซึ่งมีส่วนผลักดัน water fest ให้พิเศษมากขึ้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา แต่เดี๋ยวก่อน… กระแสตอบรับจากชาวไทยใช่ว่าจะมีคำชมเพียงอย่างเดียว เพราะแม้ “สงกรานต์ 21 วัน” จะลุล่วงไปแล้ว แต่ความฉงนสงสัยในนโยบายก็ยังเป็นสิ่งที่คาใจใครหลายคน รวมถึงชาวต่างชาติด้วย ขณะเดียวกันรัฐบาลก็พยายามตอบโต้ว่า เนื่องจากงบยังไม่ออก ปีนี้จึงไม่อาจทำอะไรได้มากเท่าที่คิด ทว่าปัญหาที่แท้อาจไม่ใช่เรื่องงบประมาณ หากแต่เป็นเรื่องของการสื่อสารที่ยัง ‘ทำไม่ถึง’ และ ‘ขาดเอกภาพ’ เสียมากกว่า ฉะนั้นแล้ว เรามาช่วยกันคิดหน่อยว่า ในแง่การสื่อสาร รัฐบาลควรทำอย่างไรให้ดีกว่านี้ แม่นยำกว่านี้ และมีประสิทธิภาพกว่านี้ อาทิเช่น จะดีกว่านี้ไหมถ้ามี “ผู้นำทางการสื่อสาร”   แม้จะเป็นที่ทราบกันดีว่างานนี้อยู่ในการกำกับดูแลของ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร” แต่ทว่าบทบาทการเป็นผู้นำทางการสื่อสารอาจจะยังไม่เด่นชัดนัก เพราะเมื่อเข้าสู่เดือนเมษายน การสื่อสารแคมเปญก็กระจายไปยังหลายฝ่าย ซึ่งข้อเสียคือประชาชนไม่รู้ว่าจะฟังใครดี? ลองนึกถึงตอนที่เรื่อง digital wallet กำลังฝุ่นตลบกันอยู่ ครานั้นนายกเศรษฐาก็พูดเสียงดังฟังชัดเลยว่า ต่อแต่นี้ขอให้ “ฟังผมคนเดียว” หรือแม้แต่ช่วงที่มีวิกฤตโควิด-19 นายกประยุทธ์ ก็แถลงการณ์เองทุกวัน เหล่านี้คือการเล่นบท ‘ผู้นำทางการสื่อสาร’ ให้ประชาชนได้รับรู้ ทว่าสำหรับนโยบาย “สงกรานต์ 21 วัน” พอเข้าเดือนเมษายน “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร” ก็กลายเป็น ‘ผู้นำล่องหน’ ไปอย่างน่าเสียดาย ถ้ามีใครสักคนในรัฐบาลเล่นบท ‘ผู้นำทางการสื่อสาร’ ป้อนข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนอยู่เป็นระยะๆ ก็คงไม่ต้องปล่อยให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศเสียเวลาสืบหาข้อมูลมากดังที่ผ่านมา จะดีกว่านี้ไหมถ้า “มี road map ที่ชัดเจนกว่านี้”    1 เมษายน คือ Day 1 ของ “สงกรานต์ 21 วัน” แต่มีประชาชนไทยสักกี่คนกันเชียวที่รู้ว่ามีอีเว้นท์ที่ไหน? อย่างไรบ้างในวันแรก? และยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงชาวต่างชาติ เพราะผลลัพธ์ที่เห็นกันก็คือ ไวรัลหนุ่มจีนขัดปืนเก้อ ไม่เจอน้ำแม้แต่หยดเดียว ยืนเปลี่ยวกลางอโศก แค่นี้ก็สะท้อนถึงการประชาสัมพันธ์แผนที่เส้นทางการเล่นน้ำที่ยังสร้างการรับรู้ได้ไม่เพียงพอเป็นอย่างดี ซึ่งของแบบนี้มีหรือที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะทำไม่ได้?   จะดีกว่านี้ไหมถ้า “มีช่องทางสื่อสารเป็นหลักแหล่ง”  บางเทศกาลในต่างประเทศ เขาจัดเล็กกว่าเรา แต่เขายังมีเว็บไซต์ มีเพจ มียูทูบให้ได้ติดตามดูความเคลื่อนไหว รวมถึงการรวบรวมข้อมูล แต่เรื่องนี้พอจะเข้าใจได้ว่างบประมาณยังไม่ออก เอาเป็นว่าปีหน้าค่อยมาตัดสินอีกทีละกัน

“หอแต๋วแตก” สุดยอดภาพยนตร์จดหมายเหตุที่ไม่เหมือนใคร (และไม่มีใครกล้าเหมือน!)

เป็นไวรัลอีกแล้วววว  สำหรับภาพยนตร์เรื่อง   “หอแต๋วแตก”  ของผู้กำกับมือถึงไม่ต้องพึ่งบทอย่าง   “พชร์ อานนท์”   ที่เดิมที เหมือนจะปิดกล้องไปแล้วสำหรับ “หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด” ภาพยนตร์ในซีรีส์หอแต๋วแตกที่  “พี่พชร์” ประกาศว่าจะเป็นภาคสุดท้าย (The Finale) ในวาระครบรอบ 17 ปี นับตั้งแต่เปิดตัวภาคแรก แต่มิวาย เมื่อมีกระแส “วันกะเทยผ่านศึก” อันเป็นวันประกาศศักดาของกะเทยไทย เช่นนั้นเอง ผู้กำกับระดับขุ่นแม่อย่างพี่พชร์ก็ไม่นิ่งดูดาย รีบโพสต์ประกาศหานักแสดง และหยิบกล้องยกกองไปถ่ายทำเพื่อเพิ่มซีนดังกล่าวเข้าไปในหนังกันแบบด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋า คือพึ่งเป็นข่าวไปได้ไม่ทันไร รุ่งขึ้นแกก็โพสต์หานักแสดง และวันต่อมาก็ยกพลไปถ่ายทำ พออีกวันบอกตัดต่อเสร็จสรรพ พร้อมส่งให้กองเซ็นเซอร์ตรวจทานแล้วด้วย อย่างไรก็ดี “พี่พชร์” ได้ชี้แจงว่า ในการถ่ายทำ ตนระมัดระวังเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และไม่ได้สนับสนุนความรุนแรงแต่อย่างใด ทั้งนี้ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เตรียมพบฉาก “สุขุมวิท 11” ได้ในวันที่ 14 มี.ค. ที่จะถึงนี้ในโรงภาพยนตร์ได้เลย   งานโปรดักชั่นที่เร็ว..แรง..ทะลุนรก ยิ่งกว่าหนัง The Fast ทุกภาคมารวมกันแบบนี้ คงไม่มีใครทำได้หรือกล้าทำ ถ้าไม่ใช่ “พชร์ อานนท์” นับว่าเป็นการทำงานที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยเลยก็ว่าได้ กระนั้นก็ตาม แฟนๆ ภาพยนตร์บางท่านก็ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการทำงานที่เน้นความฉับไว แต่ไร้คุณภาพหรือไม่? สำหรับประเด็นนี้ ผู้กำกับอดีตนักปั้นมือทองได้กล่าวอีกว่า “หนังเราไม่สุกเอาเผากินแน่นอน อย่างน้อยโปรดักขั่นหนังเราก็ไม่แพ้ใครอยู่แล้ว การใช้เวลาในการทำงานมันไม่ได้อยู่กับจำนวนวันที่ทำ แต่มันอยู่ที่ว่าคุณพร้อมและมีความชำนาญแค่ไหนต่างหาก” “บอกตรงนี้ว่า หอแต๋วแตกภาคนี้ไม่มีคำว่าเละ ถึงจะมีฉากสุขุมวิท 11 อยู่ด้วยก็ตาม อย่าดูถูกคนทำหนัง 32 ปี”   การหยิบยกไวรัลที่เกิดขึ้นมาใช้เป็นองค์ประกอบในหนัง ถือว่าเป็นซิกเนเจอร์ตามแบบฉบับ “พชร์ อานนท์” ทั้งไวรัลในไทยหรือต่างชาติ และที่สำคัญ “หอแต๋วแตก” เรียกว่าเป็นหนังที่ถูกจริตคนไทยจำนวนไม่น้อย ไม่งั้นคงไม่อยู่มาได้ถึง 17 ปี  และหากลองคิดๆ ดู ถ้าปิดตำนาน “หอแต๋วแตก” ไปแล้ว จะมีภาพยนตร์ไทยเรื่องไหนกล้าทำแบบนี้อีกบ้าง ถึงแม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์อยู่บ้างเป็นธรรมดา ทว่าแต่ละมุขก็เป็น “มีมระดับตำนาน” มาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น “หล่อนมีพิรุธอีกแล้วนะ”

โคราช ขอต้อนรับ งานมหกรรมพืชสวนโลก หรือ “โคราช เอ็กซ์โป 2029” – Korat Expo 2029

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2567 ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ สมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (The International Association of Horticultural Producers – AIPH) ประกาศให้สิทธิ์ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก (International Horticultural Expo)  หรือ “โคราช เอ็กซ์โป 2029” หลังจากทางคณะกรรมการสมาคมพืชสวนโลกระหว่างประเทศ ได้ลงพื้นที่ติดตามรับฟังข้อมูลจากตัวแทนภาครัฐและเอกชน ณ ที่ดินป่าสาธารณประโยชน์โคกหนองรังกา  ตำบลเทพาลัย อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อคณะกรรมการฯ  พิจารณาเห็นชอบตามองค์ประกอบ และเงื่อนไขที่กำหนด  จึงอนุมัติให้สิทธิ์แก่เมืองโคราชเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก ด้วยวงเงินงบประมาณการดำเนินงาน 4,280 ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรีของประเทศไทยชุดที่แล้วได้อนุมัติไป บนพื้นที่จัดงานกว่า 678 ไร่  ระหว่างวันที่ 10 พฤศจิกายน 2572 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2573 รวมทั้งสิ้น 110 วัน โดยงานนี้ จัดภายใต้แนวคิด “ธรรมชาติและพรรณพืชเขียวขจี อนาคตแห่งโลกสีเขียว” (Nature & Greenery: Envisioning the Green Future) โดยจุดมุ่งหวังของการจัดงานในทางตัวเลข มีดังนี้ คาดหวังผู้เข้าชมงานราวๆ 2.6 – 4 ล้านคน ประมาณการเงินสะพัดกว่า 18,942 ล้านบาท หวังเพิ่มมูลค่า GDP 9,163 ล้านบาท และอาจก่อให้เกิดรายได้จากการจัดเก็บภาษี 3,429 ล้านบาท รวมถึงอัตราสร้างงาน 36,003 อัตรา อีกทั้งอานิสงส์ดังกล่าว ยังแผ่ไปถึง 16 อำเภอใกล้เคียงด้วย   การคว้าสิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมระดับโลก อาจจะสามารถยกระดับจังหวัดนครราชสีมาให้เป็นเมืองต้นแบบด้านนวัตกรรมสีเขียวในอนาคต ตามที่ สยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวในฐานะเมืองเจ้าภาพไว้ว่า ขอขอบคุณรัฐบาล นายกรัฐมนตรี กรมวิชาการเกษตร สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ