Skip links

Soft Power News

Marry My Husband กับการขับเคลื่อนประเด็นสังคม Toxic ผ่านซีรีส์

เรียกได้ว่าเปิดประเดิมกระแสรับต้นปี 2024 ได้อย่างน่าประทับใจ สำหรับซีรีส์เรื่อง “Marry My Husband สามีคนนี้แจกฟรีให้เธอ”  ที่ออกอากาศตอนแรกเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 67 โดย Nielsen Korea รายงานว่าสามารถทำเรตติ้งในเกาหลีไปได้กว่า 5.2% สำหรับกระแสในประเทศไทยก็ฮอตฮิตไม่แพ้กัน เห็นได้จากการพูดถึงตัวละครหรือบางฉากตอนในเรื่องกันอย่างแพร่หลายในโลกออนไลน์ ด้วยเนื้อเรื่องที่เปิดฉากมาจาก การที่นางเอกโดนคนรอบข้างเธอ ไม่ว่าจะเป็นสามี  แม่สามี  เพื่อนสนิท  หัวหน้า  และคนที่ทำงาน คอยกดขี่ รังแก ต่อว่า ดูหมิ่น ด้อยค่าและเอาเปรียบเธอสารพัด ทั้งจากคำพูดและการกระทำ พฤติกรรมเหล่านี้หรือที่เรียกรวม ๆ ว่า  “Gaslighting”  ศัพท์คำนี้เป็นที่พูดถึงอยู่มากในช่วงหลัง  หากแต่ยังไม่มีคำแปลภาษาไทยที่ตรงตัวนัก โดย Cambridge Dictionary ได้ให้คำนิยามความหมายของคำว่า “Gaslighting” ไว้โดยถอดความเป็นภาษาไทยได้ว่า “เป็นการกระทำที่หลอกลวงหรือบงการผู้อื่น โดยทำให้พวกเขาเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นจริง โดยเฉพาะยิ่งกับการบอกเป็นนัยว่าพวกเขาอาจมีปัญหาทางความคิดจิตใจ” ทั้งนี้  พล็อตเรื่องได้เล่าถึงตัวละครหลัก ซึ่งย้อนเวลากลับไป และได้โอกาสแก้แค้นกลุ่มคนที่เคย Gaslight  และหักหลังเธอ จนเป็นที่น่าติดตามและเอาใจช่วย จากผู้ชมจำนวนมากว่านางเอกอย่าง “คังจีวอน” ที่แสดงโดย “พัคมินยอง” นั้นจะพลิกโชคชะตาและแก้ไขสถานการณ์ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้หรือไม่? อย่างไร? การหยิบยกประเด็นทางสังคม ที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้ง ในช่วงหลังอย่าง   Gaslighting  มาสอดแทรก และนำเสนอผ่านซีรีส์เรื่องนี้  ในแง่หนึ่งจึงเสมือนการขัดเกลาความคิดของผู้คนในสังคม ส่วนในอีกแง่ก็เป็นการสื่อสารต่อชาวโลกถึงค่านิยมที่ผู้เขียนบทซีรีส์เรื่องนี้ต้องการนำเสนอ เพราะหากจะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว เราจะเห็นได้ว่าซีรีส์เกาหลีในระยะหลัง ๆ มักจะหยิบแทรกประเด็นทางสังคม หรือขับเคลื่อนค่านิยมบางอย่างผ่าน  K-Drama จนประสบความสำเร็จได้ในระดับโลก ซึ่งผลงานชิ้นสำคัญที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในทิศทางของเนื้อหาหนัง-ซีรีส์เกาหลี คงต้องยกให้ภาพยนต์ Parasite ที่ออกฉายเมื่อปี 2019 เนื้อหาว่าด้วยเรื่องความเหลื่อมล้ำ และชนชั้นอันแตกต่างกันของคนรวย-คนจน ซึ่งกวาดรางวัลในระดับสากลไปเป็นกอบเป็นกำ หรืออย่างซีรีส์เรื่อง Glory ที่ออกอากาศตอนแรกในปี 2022   ก็ได้แทรกประเด็นเรื่อง Bully การกลั่นแกล้ง รังแก ซึ่งเป็นดั่งหลุมดำชีวิตที่ดูดกลืนความปกติสุขของตัวละครหลักไปตั้งแต่วัยมัธยม จะเห็นได้ว่า  การนำเสนอเรื่องความเหลื่อมล้ำ ความยุติธรรม  กระทั่งปัญหาความสัมพันธ์ระดับปัจเจก อย่างในเรื่อง Marry My

PIXELS เปลี่ยนฟังก์ชั่นเป็นแฟชั่น เปิดตัว “นนกุล” เป็นพรีเซนเตอร์คนใหม่

ผ่านไปเรียบร้อยสำหรับงาน PIXELS CARE DAY งานเปิดตัวพรีเซนเตอร์คนล่าสุดของแบรนด์ PIXELS อย่าง ชานน สันตินธรกุล หรือ นนกุล ตอกย้ำความทันสมัยด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ และความเป็นแฟชั่นสุดคูล โดยทาง PIXELS ได้พัฒนา และเปิดมิติใหม่ของกล้องวงจรปิด ด้วยการนำ Virtual Technology เข้ามาใช้เป็นเจ้าแรกในไทย พร้อมแนวคิด ที่มุ่งเน้นการทำกล้องวงจรปิด ให้เป็นมากกว่ากล้องวงจรปิด ไม่ว่าจะเป็นการนำ AI  มาใช้ตรวจจับใบหน้า รถยนต์ หรือสิ่งของ ทำให้ต่อจากนี้ กล้องวงจรปิดจะไม่ได้แค่มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเดียวเท่านั้น  ทว่ายังรู้จักด้วยว่าที่เห็นอยู่คืออะไร พร้อมกันนั้นยังมีการใช้ Wifi 6 ที่ช่วยเพิ่มความละเอียดคมชัดให้มากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงระบบ Target Wake Time ที่จะมาช่วยประหยัดพลังงาน และยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น แต่ก็นั่นแหละ การจะสื่อสารความล้ำและเทคโนโลยีอันทันสมัยให้ลูกค้าได้รับรู้ ก็อาจจะไม่ใช่จุดที่สร้างแรงดึงดูดใจได้เพียงพอ PIXELS  จึงได้จรดปากกาเซ็นสัญญา ดึง “นนกุล” เข้ามา ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ทันสมัยของแบรนด์ เพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น โดยเน้นสื่อสารความเป็นแฟชั่น ควบคู่ไปกับการปรับรูปลักษณ์ของสินค้าให้น่าดึงดูด อย่างการเปลี่ยนสี เปลี่ยนเคสของตัวกล้องได้อย่างหลากหลายคล้ายเปลี่ยนเคสมือถือ และในรุ่นพิเศษยังมีลูกเล่นหูกระต่ายบนตัวกล้องเพิ่มความคิวท์ให้ตัวกล้องดูน่ารักขึ้นอีกด้วย

“พี่จอง-คัลแลน เอฟเฟกต์” SOFT POWER ที่ดูแล้วใจฟู กับความน่ารักที่หาได้ยากในหมู่ชายไทย!

ปรากฎการณ์พี่จอง-คัลแลน youtuber สายท่องเที่ยวซึ่งกำลังเป็นที่นิยม จากช่อง 컬렌 Cullen HateBerry นับว่าเป็นกรณีที่น่าสนใจในรูปแบบของการนำเสนอที่เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องมีการปรุงแต่งอันใดมาก ทว่าด้วยเสน่ห์ของสองหนุ่มชาวเกาหลีนี้เองซึ่งเป็นที่ดึงดูดและชวนให้หลายคนกลายเป็นผู้ติดตามหรือแฟนคลับ “ด้อมใจฟู” ไปโดยไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้งคู่ถูกทาบทามให้เป็นพรีเซนเตอร์จากหลายๆ ที่ กระนั้นก็ตาม ด้วยความเป็น “พี่จองกับคัลแลน” ก็ได้มีการเลือกรับงานตามความพึงพอใจของสองคนนี้ จนเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ ณ ช่วงที่ผ่านมา ความเป็นธรรมชาติที่ไม่ได้มีโปรดักชั่นใหญ่โต ผนวกกับการเดินทางท่องเที่ยวแบบไม่พยายามโปรโมทมากจนเกินไป รวมถึงการฝึกพูดภาษาไทยผิดๆ ถูกๆ ตามสไตล์สองหนุ่มชาวเกาหลี ได้สร้างปรากฏการณ์ และเอฟเฟกต์ต่อสังคมไทย ทั้งในแง่ของการท่องเที่ยว อีกทั้งยังส่งผลต่อมุมมองของหนุ่มสาวชาวไทยไปโดยปริยาย แน่นอนว่า ด้วยความเป็น youtuber สาย Vlog / ท่องเที่ยว จึงทำให้สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งกลายเป็นจุดเช็คอินที่หลายคนปักหมุดไว้แล้วว่า ถ้ามีโอกาสจะต้องไปตามรอย พี่จองกับคัลแลนให้ได้ โดยวันนี้เราได้คัดสรรจุดเช็คอิน หรือ สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ จากอีพีต่างๆ มาไว้ที่นี่แล้ว 5 สถานที่ เริ่มต้นจาก 1. ดอยหัวหมด จากคลิป “ถึงแม่สอด ต่อด้วยอุ้มผาง เพราะเราตามหาทีลอซู” เผยแพร่เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2024 โดยดอยหัวหมดเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่ใครมา อ.อุ้มผาง จ.ตาก ก็ต้องมาชมพระอาทิตย์ขึ้น และทะเลหมอกในยามเช้าตั้งแต่เวลา 05.00น.-06.00น. อันเป็นจุดขายของดอยหัวหมดแห่งนี้ โดยที่มาของชื่อดอยหัวหมด จากข้อมูลระบุว่าเนื่องจากลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาหินปูนเตี้ยๆ อีกทั้งยังไม่มีต้นไม้ใหญ่ปกคุม ชาวท้องถิ่นจึงเรียกว่า “ดอยหัวหมด” มาจนถึงทุกวันนี้ 2. ช้าง อารีน่า และ บุรีรัมย์ คาสเซิล จากคลิป “แวะมาสนุก 1 วันที่บุรีรัมย์ ก่อนเราจะมุ่งหน้าไปสุรินทร์” เผยแพร่เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2023 สำหรับใครที่เป็นสายชอบทำกิจกรรมหลากหลาย ช้าง อารีน่า และ บุรีรัมย์ คาสเซิล นับว่าตอบโจทย์ เนื่องจากมีกิจกรรมกีฬาสนุกๆ ทั้งที่เกี่ยวกับฟุตบอลและแข่งรถ ของฝั่ง ช้าง อารีน่า และหากขยับมาหน่อยทางฝั่ง บุรีรัมย์

แพทองธาร โชว์วิสัยทัศน์ ในงานเสวนา Soft Power พร้อมกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ

วันนี้ (24 ม.ค. 67) แพทองธาร ชินวัตร รองประธานยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ มาร่วมขึ้นเวทีและแสดงวิสัยทัศน์ในงานเสวนา Soft Power Thailand’s Next Weapon | Thairath Forum จัดโดยไทยรัฐกรุ๊ป โดยเนื้อหาหลักที่ แพทองธาร กล่าวบนเวทีนั้น ได้เปรียบ นโยบาย Soft Power เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง คล้ายกับผู้หญิงที่ต้องทำให้หนุ่มๆ หลงรัก กล่าวคือทำอย่างไรให้ทั่วโลกหลงรักประเทศไทยผ่านการขับเคลื่อนและส่งออก โดยเราจะเน้นไปทางเศรษฐกิจ รวมถึงยกระดับความเป็นอยู่ครัวเรือน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และเพิ่มศักยภาพ ไม่ว่าจะในสาขา ภาพยนต์, อาหาร, บันเทิง ฯลฯ แต่ปัญหาหลักคือ ความยุ่งยากของการทำกิจกรรมต่างๆ ที่บางครั้งต้องยื่นเอกสารต่อภาครัฐ เนื่องจากข้อติดขัดของกฎกระทรวงมากมายหลายหน่วยงาน เราจะเริ่มทำ One stop service โดยจะเริ่มทำ sandbox ในกรุงเทพฯ สำหรับสาขาภาพยนต์ ให้สามารถถ่ายทำในสถานที่ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เราต้องยกเลิกกฎกระทรวงที่ล้าสมัย อีกทั้ง ตอนนี้ยังมีการร่วมมือกันของภาครัฐกับภาคเอกชน เพราะเอกชนคือผู้รู้ตัวจริง เขามี know how เขารู้ว่าต้องทำอะไร ทำอย่างไร ใช้งบเท่าไหร่ รัฐเพียงแค่อำนวยความสะดวกให้ พัฒนาระบบให้มีความมั่นคงยั่งยืน มีความทันสมัย และการทำงานกับภาคเอกชนคือทุกคนอยากมีส่วนร่วม เนื่องจากเขาทราบถึงปัญหาและหวังดีกับสาขาอาชีพของเขาจริงๆ นอกจากนี้ แพทองธาร ยังกล่าวถึงเทศกาลสงกรานต์ที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนนี้ โดยจะมีการเพิ่มช่วงเทศกาลให้มีไปถึงวันที่ 20 กว่าๆ ได้ จากที่เดิมทีมีเพียง 13-14-15 เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่กับเรานานขึ้น ให้เม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศเรามากขึ้น แต่ไม่ใช่การเล่นน้ำทุกวัน เพราะสงกรานต์ไม่ได้มีแค่สาดน้ำ ยังมีกิจกรรมต่างๆ เช่น แต่งชุดไทย สรงน้ําพระ เข้าวัดทำบุญ และอื่นๆ โดยต่อจากนี้จะสร้าง THACCA หน่วยงานที่มอบประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ คาดว่า พ.ร.บ. THACCA น่าจะร่างเสร็จไม่เกินเดือนเมษายน ก่อนจะยื่นให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป โดยระบุว่างบประมาณกว่า 5 พันล้านบาทนั้น จะกระจายแบ่งไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น

เปิดไลน์อัพ 11 ตัวตึงทีมยุทธศาสตร์ Soft Power แห่งชาติ

ในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 13 กันยายน ได้มีมติที่สำคัญเรื่องการตั้ง คณะกรรมการยุทธศาสตร์ Soft Power แห่งชาติ ซึ่งมี นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน นั่งเป็นประธาน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นรองประธาน นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นที่ปรึกษา นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นกรรมการ และผู้ประสานงานคือ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี หลังการประกาศรายชื่อ ก็เรียกเสียงฮือฮาจากชาวโซเชียลได้ไม่น้อย ซึ่งสมาชิกทีมยุทธศาสตร์ซอฟต์ พาวเวอร์ที่ทางรัฐบาลประกาศออกมามีไลน์อัพดังนี้ • นายชุมพล แจ้งไพร หรือ เชฟชุมพล • ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล ผู้กำกับ-ผู้อำนวยการฝ่ายคอนเทนต์ของ Viu (วิว) ประเทศไทย • นางชฎาทิพ จูตระกูล ผู้บริหารสยามพิวรรธน์ (ไอคอนสยาม สยามพารากอน ฯลฯ) • นายดวงฤทธิ์ บุนนาค นักออกแบบ สถาปนิก สมาชิกกลุ่มแคร์ (ชายผู้รักษาสัจจะ) • นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (พี่สาวน้อย-วงพรู) . • นางสาวกมลนาถ องค์วรรณดี แฟชั่นดีไซเนอร์ กูรูด้าน Sustainable Fashion • นายจรัญ หอมเทียนทอง อดีตนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ PUBAT • นายพิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย • นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ นักธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ / ผู้ก่อตั้ง CMO บริษัทออร์แกไนเซอร์ • วิเชียร ฤกษ์ไพศาล หรือนิค จีนี่ อดีตผู้บริหารค่ายเพลงจีนี่เร็คคอร์ดส์ • สิทธิชัย เทพไพฑูรย์
Tags

ดูฟรี 3 วันเต็ม จักรวาลแห่งดนตรี ฟรีคอนเสิร์ต Thai – Japan Iconic Music Fest 2023

วาสนาผู้ได๋น้อ…ที่จะมีโอกาสได้ชมคอนเสิร์ตจากทัพศิลปินระดับไอคอนของสองประเทศ ที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 แล้ว ซึ่งงาน Thai-Japan Iconic Music Fest 2023 ในปีนี้ได้รวมเอาไลน์อัพศิลปินไทย-ญี่ปุ่นหลายร้อยชีวิตมาโชว์ดนตรี ทั้งร้อง ทั้งเต้น Delivery ความสนุกส่งตรงถึงไอคอนสยามโดยฝีมือบริษัท “จี-ยู ครีเอทีฟ” ถือเป็นวาสนาแฟนดนตรีชาวไทยโดยแท้ เหล่าแฟนเพลงเตรียมตัวกาปฏิทินรอไว้เลย วันศุกร์ที่ 22 – วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2566 นี้ ที่ ริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยาม ย้ำให้ฟังอีกครั้ง งานนี้ดูฟรี! โดยในงานแถลงข่าวได้รับเกียรติจาก คุณคาวามูระ มากิ ผู้อำนวยการสำนักข่าวสารญี่ปุ่น สถานเอกอัครราชฑูตญี่ปุ่นประจำประเทศไท, คุณยุพเรศ เอกธุระประคัลภ์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท จี-ยู ครีเอทีฟ จำกัด, คุณสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด, คุณโทโมมิ โคบายาชิ รองกรรมการบริหาร บริษัท จี-ยู ครีเอทีฟ จำกัด, คุณอัตสึชิ โอะคูโมริ กรรมการผู้จัดการห้างสรรพสินค้าสยามทาคาชิมายะ และ คุณยาสึยูกิ โทมินากะ ผู้อำนวยการสำนักงานสมาคมญี่ปุ่นในประเทศไทย รวมทั้งตัวแทนศิลปินทั้งญี่ปุ่น และประเทศไทย รวมทั้งเหล่า Influencer ที่จะมาช่วยกันสร้างสีสันให้งานนี้เป็นที่รู้จักมากยิ่ง เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง  นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด พูดถึงความพิเศษของการจัดงานในครั้งนี้ว่าเป็นวาระในการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี แห่งมิตรภาพความร่วมมือของอาเซียนและญี่ปุ่น โดยใช้ Soft Power ทางด้านดนตรีเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและเผยแพร่วัฒนธรรม อันจะเป็นการผลักดันอุตสาหกรรมดนตรีให้เติบโต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างชื่อเสียงแก่ประเทศต่อไป ด้านยุพเรศ เอกธุระประคัลภ์ ประธานบริหาร จี-ยู ครีเอทีฟพูดถึงความยิ่งใหญ่ของงานในปีนี้ที่ยกทัพไลน์อัพศิลปินระดับแถวหน้าหลายร้อยคนมาโชว์ถึงที่ อาทิ ไลน์อัพศิลปินญี่ปุ่น BEYOOOOONDS ที่ประกอบไปด้วยสมาชิก Ichioka Reina, Shimakura Rika, Nishida Shiori,

10 อันดับประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานดีที่สุดในทวีปเอเชีย

ตัวตึง SEA !!! ไทยแซงมาเลย์ขึ้นอันดับ 2 ประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เทียบกันในภูมิภาคเอเชียใต่ขึ้นมาที่อันดับ 9 / รั้งอันดับ 25 ของโลก) จากรายงาน Logistics performance index 2023 ในหมวดโครงสร้างพื้นฐาน ที่จัดอันดับโดยธนาคารโลกนั้นพบว่าระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยได้รับการพัฒนาขึ้นจากการสำรวจครั้งล่าสุดในปี 2018 ที่อยู่อันดับ 41 ของโลก ได้ 3.14 คะแนน ปีนี้ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 25 ได้ 3.7 คะแนน จาก 139 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถ้าเทียบกับประเทศที่ได้คะแนนใกล้เคียงกัน ไทยนั้นครองอันดับ 25 ร่วมกันกับประเทศอังกฤษ, กรีซ, อิสราเอล, และมอลต้า และทำอันดับแซงประเทศมาเลเซียได้เป็นครั้งแรก Thailand World Rank: 25 3.7United Kingdom World Rank: 25 3.7Greece World Rank: 25 3.7Israel World Rank: 25 3.7Malta World Rank: 25 3.7 ถ้านับแค่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศไทยรั้งอันดับสองรองจากสิงคโปร์ (อันดับ 1 ของโลก) รั้งอันดับ 9 เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศในทวีปเอเชีย และอยู่ในอันดับ 25 ของโลกจากทั้งหมด 139 ประเทศที่ทาง World Bank ทำการสำรวจ ประเทศอื่นๆ ที่น่าจับตาในทวีปเอเชีย India World Rank: 47 3.2Philippines World Rank: 47 3.2Oman World Rank: 47 3.2Vietnam World Rank: 47 3.2 ข้อมูลจาก : https://lpi.worldbank.org/international/global โครงสร้างพื้นฐานมีอะไรบ้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) หมายถึง สิ่งปลูกสร้างและระบบพื้นฐานที่รองรับการขยายตัวของชุมชน เป็นส่วนสำคัญของ
Tags

Soft Power ชาตรามือ เปิดสาขาแรกเวียดนาม ต่อคิวล้น ออเดอร์ทะลัก!

ชาตรามือ นั้นถือเป็นหนึ่งในลิสต์เครื่องดื่มที่นักท่องเที่ยวชาวเวียดนามปักหมุดไว้เป็นอันดับต้นๆ หากมีโอกาสได้มาเยือนเมืองไทย เพราะได้รับการบอกต่อแบบปากต่อปากเรื่องรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ และความหอมที่โดดเด่นแบบเกินเบอร์ ชิมแล้วให้รสสัมผัสที่แตกต่างจากชาของที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เมื่อ ชาตรามือ มาเปิดสาขาแรกที่ โฮจิมินห์ซิตี วันที่ 9 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา หลังทดลองเปิดแบบ Soft Opening วันแรก ก็มีลูกค้าเก่าที่เคยชิมมาแล้วตอนมาเที่ยวไทย รวมถึงลูกค้าใหม่ที่ได้ยินคำร่ำลือ ต่างพร้อมใจกันมาเข้าคิวรอตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดนานกว่า 2 ชั่วโมง หนึ่งในนั้นคือหนุ่มเวียดนามที่น่าจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ชาไทย ไม่แน่ใจว่าจะสั่งไปกินหรือสั่งไปอาบ เพราะพี่แกสั่งออเดอร์เดียวถึง 73 แก้ว! คิดดูละกันถ้าเราต้องไปยืนต่อคิวข้างหลัง ต้องมีมองค้อนแบบตาแข็งบ้างแหละ สมมติแก้วนึงใช้เวลา 1 นาที พนักงานก็ชงออเดอร์นี้ไปเกือบชั่วโมงครึ่งแล้ว ไหนจะมีออเดอร์จากการสั่งออนไลน์ผ่านแอปฯ ต่างๆ อีก ทำให้ทางเพจชาตรามือเวียดนาม ต้องประกาศจำกัดจำนวน ให้สั่งได้ไม่เกิน 8 แก้วต่อออเดอร์ แล้วอีกสองวันถัดมาก็ลดจำนวนลงอีก ให้สั่งได้ไม่เกิน 6 แก้วต่อออเดอร์ สำหรับราคาขายที่สาขาเวียดนามนั้นเมื่อเทียบกับประเทศไทยก็เพิ่มขึ้นมาเกือบเท่าตัว ในประเทศไทยเริ่มต้นแก้วละ 45 บาท ในขณะที่เวียดนามนั้นเริ่มต้นที่แก้วละ 55,000 ดอง (ประมาณ 80 บาท) โดยชาตรามือนั้นได้ออกไปบุกตลาดต่างประเทศมาหลายสาขาแล้ว ทั้งบรูไน, กัมพูชา, จีน, ฮ่องกง, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, เมียนมาร์, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ และเวียดนามเป็นประเทศล่าสุด ซึ่งเว็บไซต์ TasteAtlas ที่รวบรวมบทความและข้อมูลอาหารยอดนิยมทั่วโลกได้จัด 10 อันดับเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2023 และ “ชาไทยเย็น” นั้นได้รับคะแนนการโหวตอยู่ที่ 4.7 คะแนน อยู่อันดับ 5 ของโลกเลยทีเดียว ชาตรามือจึงเป็นเหมือนอีกหนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย ที่พารสชาติเอกลักษณ์แห่ง “ชาไทย” ออกไปมัดใจผู้คนทั่วโลก…อ้างอิง : https://www.tasteatlas.com/best-rated-non-alcoholic…

ยิ่งกว่า​ Soft Power พิธาออกรายการสรยุทธ ดันแฮชแท็ก #สุราก้าวหน้า ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์

ทำเอาชาวเน็ตบนโลกโซเชียลต่างติดแฮชแท็กผลักดัน​ #สุราก้าวหน้า​ จนขึ้นเทรนด์​ทวิตเตอร์​อันดับหนึ่งของวันนี้​ หลัง​ “พิธา” สร้างปรากฎการณ์​เหล้าสังเวียนของชาวสุพรรณ​ sold out ภายในวันเดียว​.สุราก้าวหน้า ถือเป็นหนึ่งในนโยบายหลักที่ทางพรรคก้าวไกลพยายามผลักดันผ่านสื่อต่างๆ มาตลอด เป้าหมายที่ตั้งไว้คือการทลายทุนผูกขาดโดยการแก้กฎหมายให้ประชาชนทั่วไปสามารถพัฒนาสุราให้มีความหลากหลาย ต่อยอดไปสู่การสร้างอาชีพ โดยไม่ต้องฝ่าอุปสรรคด้านเงินลงทุนที่สูงเกินไปแบบในปัจจุบัน.โดยพิธาได้ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นที่มีความหลากหลายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากถึง 4 หมื่นกว่าแบรนด์ ในขณะที่ประเทศไทยมีเพียงเจ้าใหญ่ๆ เพียง 7 รายเท่านั้นที่ครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ในประเทศ.ซึ่งสุราของไทยในตอนนี้ หลายตัวนั้นผลิตขึ้นมาจากวัตถุดิบและส่วนผสมที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นจากท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ ทำให้มีรสชาติที่แตกต่าง บางตัวถูกปรับปรุงพัฒนาจนสามารถคว้ารางวัลได้ในระดับนานาชาติ