Skip links

Festivel

Tags

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จัดใหญ่ “เทศกาลเมือง (ต้อง) รอง” ชู 55 เมืองรอง ด้วย ‘Hidden Gems’ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเดินหน้ากระตุ้นท่องเที่ยวปลายปี 2568 ต่อเนื่องถึงปี 2569 ผลักดันศักยภาพ “เมืองรอง” 55 จังหวัด ผ่านงาน “เทศกาลเมือง (ต้อง) รอง” ภายใต้แนวคิด “เมืองรอง เมืองที่ทุกคน ต้องลอง” ต่อยอด จุดแข็งด้านวัฒนธรรม–ธรรมชาติ–วิถีชุมชน เพื่อนำเสนอประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีมูลค่า คาดว่าการจัดงานจะช่วย ผู้ประกอบการและชุมชนกว่า 25,000 ราย และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม กระจายรายได้สู่พื้นที่เมืองรองทั่วประเทศ นัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เดินหน้ามาตรการเร่งกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยในช่วงที่ผ่านมาได้ดำเนินมาตรการเชิงรุก เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล ทั้งการยกระดับมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ ให้มีความสะดวก สะอาด ปลอดภัย ตามมาตรฐานสากล ไม่ว่าจะเป็นป้ายบอกทาง ห้องน้ำสาธารณะ และสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เพื่อสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ และสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก พร้อมรองรับการท่องเที่ยวตลอดปี นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังเดินหน้าส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองผ่านมาตรการสำคัญ ได้แก่ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน 2568 ที่สนับสนุนค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในเมืองรอง 50% โครงการ “เที่ยวดีมีคืน” ที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 30,000 บาท พร้อมบูรณาการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับมาตรฐานบริการ ผลักดันเมืองรองให้เป็น MICE Cities รวมทั้งส่งเสริมการจัดงาน เทศกาล และประเพณีท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักในระดับประเทศ ตลอดจนสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ผ่านมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อช่วยฟื้นฟูภาคธุรกิจโรงแรมและบริการในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวงฯได้ตั้งเป้าให้การท่องเที่ยวเมืองรองเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจไทย สามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพ และเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศอย่างยั่งยืน สำหรับงาน “เทศกาลเมือง (ต้อง) รอง” จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เมืองรอง เมืองที่ทุกคน ต้องลอง” ด้วยไฮไลต์สำคัญ 5 MUST DO | 5 HIDDEN GEMS | 55 DESTINATIONS รวบรวมเสน่ห์การท่องเที่ยว วิถีชีวิต และอารยธรรมจากทั้ง 5 ภูมิภาคของประเทศไทย ได้แก่ ภาคเหนือ
Tags

“Season of Love Song ครั้งที่ 15” หนาวสุด ฟินสุด มันส์สุด ยันเช้า!

ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยกับเทศกาลดนตรี “Chang Music Connection Presents Season of Love Song ครั้งที่ 15” เรียกว่าเป็นแลนด์มาร์กคอนเสิร์ตฤดูหนาวที่แฟนเพลงนับหมื่นมารวมตัวกัน ปีนี้หนาวแบบจริงจัง ณ เวเนโต้ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ในธีม Fantastic Circus ที่ได้เนรมิตเวทีคอนเสิร์ตกลางธรรมชาติให้กลายเป็นคานิวัลแห่งเสียงดนตรี มาพร้อมชิงช้าสวรรค์ การต้อนรับจากนุ้งแกะ สีสัน และการตกแต่งทุกมุมประดับด้วยแสงไฟทั่วทั้งงาน เอ็นจอยไปกับเสียงเพลงและบรรยากาศลมหนาวตลอดค่ำคืนวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2568 ถึงเช้าวันอาทิตย์ ด้วยอุณหภูมิที่ต่ำลงเรื่อยๆ ตลอดทั้งคืน โดยผู้จัด CI Showbiz ที่สร้างสรรค์โชว์อัดแน่นกว่า 15 ชั่วโมงเต็ม เริ่มกันด้วยเปิดโชว์แรกช่วงบ่ายจากสาวๆ เกิร์ลกรุ๊ปวงน้องใหม่ “THX” ที่โชว์เรียกน้ำย่อยแจกความน่ารัก สดใส ต้อนรับชาว SoLS ซึ่งฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ ต่อด้วย คู่หูเพลงรัก “SERIOUS BACON” ฟังเพลงชิลๆ เพลิดเพลินไปกับแสงแดดอ่อนๆ แบบอบอุ่น ต่อเนื่องด้วยหนุ่ม “PUN” ศิลปินเดี่ยวมาแรงยุคนี้ ที่กำลังขึ้นแท่นขวัญใจแฟนเพลงรุ่นใหม่ มากับซาวด์ดนตรีเคลิ้มๆ ฟินได้ทุกเพลงแบบโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเข้าสู่ช่วงยามเย็น โชว์สกิลแร็ปด้วย “D GERRARD” ของจริงที่ไม่พูดพร่ำทำเพลง แค่เริ่ม Flow ชาว SoLS ก็โยกตามกันแล้ว และขอต้อนรับช่วงค่ำด้วย “LIPTA” สองหนุ่มวงป็อปแถวหน้าที่แฟนเพลงทุกเจเนอเรชันชื่นชอบ มาสร้างสีสันและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเพลงฮิตที่ทำให้หยุดยิ้มไม่ได้ ร่วมร้องและร่วมเต้นท่ามกลางบรรยากาศลมหนาวแบบต่อเนื่อง แต่ความฮอตยังทวีคูณสู้ลมหนาว เพราะสาวๆ “4EVE” แห่งวงการ T-POP ขึ้นมาโชว์สเต็ปฮอตๆ กับท่าเต้นสุดฮิต เป็นปีที่ 2 ให้ชาว SoLS ได้กรี๊ด กับเสน่ห์เฉพาะตัว ไฟลุกเวทีอีกครั้ง มาถึงศิลปินแห่งยุคที่ทุกคนรอคอย “NONT TANONT” พร้อมบทเพลงคลั่งรักและพลังเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ สานต่อโมเมนต์สุดพิเศษให้แฟนๆ ฟินต่อเนื่องตลอดทั้งคืนแบบไม่มีเบื่อ พร้อมส่งต่อเวทีให้กับ “TILLY BIRDS” มาทั้งทีเสิร์ฟเพลงฮิตแบบจุกๆ ถ่ายทอดความสนุก และความเป็นกันเองให้แฟนๆ

“เทศกาลเมือง (ต้อง) รอง” มหกรรม กิน–ช้อป–เที่ยว สุดยิ่งใหญ่ ครั้งแรกในประเทศไทย

ชวนสัมผัสเสน่ห์เมืองรองที่เต็มไปด้วยของดีและประสบการณ์น่าค้นหา กับ “เทศกาลเมือง (ต้อง) รอง” มหกรรมท่องเที่ยวเมืองรองสุดยิ่งใหญ่ ครั้งแรกในประเทศไทย จัดขึ้นภายใต้แนวคิด“เมืองรอง เมืองที่ทุกคน ต้องลอง” รวมของเด็ดจาก 5 ภูมิภาค 55 จังหวัด มาไว้ในที่เดียวสนุกไปกับกิจกรรม “ต้องลอง – ต้องชิม – ต้องซื้อ – ต้องชม – ต้องค้นหา” พร้อมไฮไลต์พิเศษมากมาย ทั้ง VR Virtual Tour พาเที่ยวเมืองสุดอันซีน, นิทรรศการมีชีวิต, เวิร์กชอปทำมือ และตลาดของดีเมืองรอง ที่รับรองว่าเดินสนุกทั้งวันแบบหยุดไม่ได้ จัดเต็มบนพื้นที่กว่า 11,000 ตารางเมตร ตั้งแต่วันที่ 28 – 30 พฤศจิกายน 2568 ณ ฮอลล์ 11 – 12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี ปลูกฝังการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ ยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวไทยสู่ “Sustainable Tourism” ภายในงานยังมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมและให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ แนวทางการท่องเที่ยวที่ไม่เพียงสร้างความสุขให้กับนักเดินทาง แต่ยังช่วย “รักษ์โลก” และ “รักษ์ท้องถิ่น” ไปพร้อมกัน ผ่านนิทรรศการมีชีวิตแบบ Interactive “ท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ” ที่นำเสนอเรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนผ่านตัวละครสามตัวแทนมิติด้านสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และสังคม ทำให้ผู้เข้าชมเข้าใจแนวคิดการเดินทางที่เป็นมิตรต่อชุมชนมากยิ่งขึ้น และอีกหนึ่งนิทรรศการสำคัญคือ “เที่ยวเมืองรอง…รักษ์โลก” ซึ่งเน้นวัสดุจัดแสดงแบบลดการสร้างขยะพร้อมกิจกรรมเชิงให้ความรู้ อย่าง Carbon Explorer Game และ Waste Sorting Game เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการลงมือทำ พบกับ 6 โซนกิจกรรมทั่วทุกภูมิภาค โซนภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย พิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สุโขทัย ลำพูน อุตรดิตถ์ ลำปาง แม่ฮ่องสอน พิจิตร แพร่ น่าน กำแพงเพชร อุทัยธานี และพะเยา

ที่มา ‘วันฮาโลวีน’ ที่คุณอาจไม่รู้ เส้นทางจากยุโรป สู่อเมริกาและทั่วโลก

มีเทศกาลสากลอยู่ไม่มากนักที่หลายแห่งในโลกจะปฏิบัติร่วมกันโดยพร้อมเพรียง ถ้าไม่นับวันขึ้นปีใหม่แล้วล่ะก็ อาจจะมี “วันคริสต์มาส” กับ “วันตรุษจีน” ที่พอจะพบได้ในหลายภูมิภาค  แต่เทศกาลสากลไม่ได้มีแค่นี้ เพราะ “วันฮาโลวีน” ยังเป็นหนึ่งในเทศกาลที่คนทั่วโลกพร้อมจอยไปด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ทวีปใดก็ตาม และเผลอๆ วันฮาโลวีน อาจจะเป็นเทศกาลสากลที่ง่ายต่อการเข้าร่วมมากที่สุดในโลกด้วยซ้ำไป  เพราะหากเปรียบเทียบ วันฮาโลวีนมิได้มีความเข้มข้นทางศาสนาเท่ากับวันคริสต์มาส และไม่ได้ขึ้นอยู่กับความผูกพันทางสายเลือดอย่างวันตรุษจีน ทว่าธีมหลักของวันฮาโลวีน ซึ่งเกี่ยวกับผี วิญญาณ ความตาย เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ทุกแห่งหน ธีมดังกล่าวจึงเชื่อมโยงผู้คนได้ทั่วโลก รวมถึงการละเล่นที่เรียบง่าย ทำตามได้แทบจะทุกหมู่ชน อาทิ การแต่งกาย/แต่งหน้าแฟนซี หรือเล่น “Trick or Treat” ซึ่งกิจกรรมต่างๆ นอกจากมอบความสนุกแล้ว ยังสามารถเชื่อมสัมพันธ์กับคนรอบตัว เพื่อนบ้าน ชุมชน และสังคมไปในตัวด้วย อย่างไรก็ดี สำหรับ ‘วันปล่อยผี’ ดูเผินๆ เราอาจจะคุ้นชินในวัฒนธรรมของชาวอเมริกันสมัยใหม่ที่มักพบได้ตามสื่อต่างๆ แต่กว่าจะมาเป็นที่รู้จักผ่านอเมริกา ต้นเรื่องคงต้องย้อนเวลาและย้ายแผ่นดินไปยังถิ่นยุโรป ต้นกำเนิดของวันฮาโลวีน ว่ากันว่า มาจากความเชื่อเก่าแก่ของชาวเซลติกโบราณกว่า 2,000 ปีที่แล้ว โดยวันสำคัญนั้นมีชื่อว่า “Samhain” ซึ่งถือว่าเป็นวันสิ้นสุดฤดูร้อน ก่อนจะเข้าสู่ฤดูหนาว อีกทั้งยังเป็นช่วงที่เส้นพรมแดนระหว่างโลกของ “คนเป็น” และ “คนตาย” จะเลือนรางลงในคืนวันที่ 31 ตุลาคม โดยเชื่อกันว่า วิญญาณของคนตายจะกลับคืนสู่โลกในวันนั้น  ต่อมา เมื่อจักรวรรดิโรมันเข้ามาปกครองอาณาเขตดังกล่าว ส่งผลให้มีการผสานรวมกับประเพณีอื่น จนเกิดเป็นชื่อใหม่ ความหมายใหม่ รวมถึงแนวคิดแบบคริสตจักรที่แผ่ขยายปกคลุมเขตแดนเซลติก จึงก่อให้เกิดพลวัตทางวิถีปฏิบัติและคติความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไป  ในประเด็นนี้ กําพล จําปาพันธ์ เขียนไว้ในบทความเผยแพร่ทาง The People โดยอ้างอิงถึงผลงานของผู้เชี่ยวชาญสองคนได้แก่ Ruth Edna Kelley และ Ray Bradbury ซึ่งอธิบายว่า ‘Halloween’ มาจากคำว่า ‘All-hallows’ ในคริสต์ศาสนา หมายถึง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ส่วนชาวเซลติกดั้งเดิมมีคำว่า ‘All Hallows Eve’ หมายถึง ‘วันก่อนฉลองนักบุญทั้งหลาย’ ต่อมา เมื่อนำสองคำนี้มารวมกันจึงกลายเป็น ‘Hallowe’en’ และ