ความหมายของคำว่า “Soft Power” มิได้จำกัดความเพียงสินค้าทางวัฒนธรรมแค่เท่านั้น หากแต่เป็น “พลังโน้มนำ” อันประกอบสร้างจากค่านิยม ภาพลักษณ์ หรืออิทธิพลมวลรวมบางอย่างของประเทศ ในบริบทนี้ “สถานศึกษา” จึงเป็นแหล่งที่มาสำคัญในการเพิ่มศักยภาพทาง Soft Power ของประเทศด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะยิ่ง สถานศึกษาที่มีโครงการนักเรียน/นักศึกษาแลกเปลี่ยน หรือหลักสูตรการศึกษานานาชาติ ตลอดจนการให้ทุนการศึกษา เหล่านี้ล้วนมีบทบาทในการสร้างเครือข่ายอิทธิพลผ่านประสบการณ์ของผู้เรียน ซึ่งเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อความสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจในอนาคต
เพราะว่า นักเรียน/นักศึกษาที่มีศักยภาพพอจะไปศึกษาต่างแดน หากไม่ใช่เพราะสถานภาพทางการศึกษา ก็มาจากสถานภาพทางการเงิน กล่าวอีกอย่างคือ ไม่ใช่คนเก่ง ก็ต้องเป็นคนรวย และคนเหล่านี้เองที่มีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นไปเป็นชนชั้นนำของประเทศบ้านเกิด
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ผ่านสถานศึกษา จึงเป็นกลไกสำคัญในการสร้างและฉายภาพ Soft Power ออกสู่ระดับโลก ผ่านการเผยแพร่วัฒนธรรม ค่านิยม ภาพลักษณ์ และแนวคิดบางประการที่ผู้เรียนจะได้ซึมซับ ก่อนนำกลับไปยังประเทศของตนเอง ซึ่งก่อให้เกิดอิทธิพลเชิงบวกในระยะยาว
รวมถึงการใช้การศึกษาระดับสูงเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ และเสริมสร้างชื่อเสียงบนเวทีโลกผ่านงานศึกษาวิจัย ความก้าวหน้าทางนวัตกรรม และความรู้ที่ช่วยพัฒนากรอบคิดของมนุษย์
กรณีตัวอย่างที่น่าสนใจ อาทิ ทุน Fulbright ของสหรัฐอเมริกาในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งใช้ระบบการศึกษาดึงดูดนักศึกษาต่างชาติและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวิชาการ สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวและความผูกพันทางวัฒนธรรม ผู้เรียนในโครงการนี้มีแนวโน้มจะกลายเป็นผู้นำและผู้เชี่ยวชาญที่มีอิทธิพลในประเทศตนเอง พร้อมเผยแพร่ความชื่นชมต่อค่านิยมและนโยบายของอเมริกา
หรือตัวอย่างจากประเทศจีน ที่พัฒนาระบบการศึกษาในช่วงหลังให้ก้าวล้ำนำสมัยมากขึ้น เฉพาะยิ่งในสาย STEM ที่แซงหน้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของหลายประเทศ จนขึ้นมาเป็นลำดับต้นๆ ของโลกได้ในปัจจุบัน
โดยทางการจีนมุ่งหมายจะขยายการแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างประเทศ เสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัย รวมถึงยกระดับให้ประเทศจีนเป็น “ศูนย์กลางการศึกษาในสาย STEM”
หรือแม้แต่ประเทศเล็กๆ อย่างฟินแลนด์ ก็สามารถสร้างชื่อเสียงที่ดีได้จากระบบการศึกษา จนมักถูกจัดให้เป็นประเทศที่โครงสร้างทางการศึกษาดีที่สุดในโลก
จึงกล่าวได้ว่า การศึกษาเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการทูตระยะยาว ตลอดจนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพทาง Soft Power ของประเทศได้อย่างยั่งยืน
ถามว่าประเทศไทยให้ความสำคัญเรื่องการศึกษาในแง่มุมของ Soft Power แล้วหรือยัง? ก็อาจจะยังน้าาา
…
อ้างอิง :
https://library.educause.edu/-/media/files/library/2005/1/ffp0502s-pdf
https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S2405844023109443