เมื่อเอ่ยถึงฟุตบอล ภาพแรกในหัวของใครหลายคนคงหนีไม่พ้น “พรีเมียร์ลีก” จากเกาะอังกฤษ
แต่กว่าที่ลีกสูงสุดของแดนผู้ดีจะเป็นที่ยอมรับในฐานะ “เมืองหลวงแห่งโลกลูกหนัง” คงต้องกล่าว่า สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือเกิดขึ้นเพียงเพราะเกมที่สนุกสนานแค่นั้น หากแต่เป็นผลลัพธ์จากการวางแผนอย่างเป็นระบบ และการขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์ระยะยาว
เริ่มจากโครงสร้างเรื่องการเงิน พรีเมียร์ลีกวางระบบแบ่งรายได้เป็นขั้นบันได โดยทีมที่ทำผลงานดี จบอันดับสูง หรือมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อม ก็จะได้รับส่วนแบ่งมากขึ้นตามสัดส่วน ซึ่งเงินตรงนี้ แม้แต่ทีมบ๊วยของตารางก็ยังได้รับไปถึงหลักร้อยล้านปอนด์ต่อฤดูกาลเลยทีเดียว
ทั้งนี้ อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พรีเมียร์ลีกอังกฤษไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นั่นก็คือการเปิดประตูต้อนรับบุคลากรต่างชาติให้เข้ามาทำงานได้ง่ายขึ้นผ่านมาตรการผ่อนปรนใบอนุญาตทำงาน หรือ work permit
นโยบายนี้ทำให้ลีกอังกฤษสามารถดึงดูดแข้งระดับพระกาฬได้แบบต่อเนื่อง และไม่ใช่แค่นักเตะฝีเท้าดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้จัดการทีม สตาฟฟ์โค้ช นักโภชนาการ นักกายภาพ รวมถึงทีมงานเบื้องหลังอื่นๆ และเมื่อยอดฝีมือในตำแหน่งต่างๆ ถูกดึงมารวมไว้ที่นี่ คุณภาพลีกก็ย่อมยกระดับขึ้นตามศักยภาพ
ผลที่ตามมาคือการเกิดขึ้นของทีม “Big 4” อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อลและเชลซี ซึ่งเป็นครั้งแรกๆ ในลีกยุโรปที่มีถึง 4 สโมสรซึ่งขับเคี่ยวกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน จนปัจจุบันนี้ต้องเพิ่มเป็น “Big 6” แล้ว
แตกต่างจากลีกอื่นที่มักมีเพียงทีมใหญ่ 2-3 ทีมที่ผลัดกันลุ้นแชมป์ หนำซ้ำบางลีกของบางประเทศยังมีแค่ทีมเดียวด้วยซ้ำที่ผูกขาดความสำเร็จ
แต่ทว่าลีกอังกฤษนั้นไม่เหมือนกัน เพราะยิ่งการแข่งขันสูงก็ยิ่งสนุกเร้าใจ และนั่นแหละความมันส์สะเด่าจึงบังเกิด
นอกเหนือจากเรื่องในสโมสร พรีเมียร์ลีกยังลงทุนในระดับชุมชน ให้เยาวชนท้องถิ่นเข้าถึงมาตรฐานการฝึกซ้อมที่ดี สร้างแรงบันดาลใจ และความเป็นมืออาชีพ กล่าวคือ ปลูกฝังการเป็นนักเตะคุณภาพกันตั้งแต่วัยเยาว์
และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือ การต่อยอดสู่ตลาดโลก นับตั้งแต่การกำหนดเวลาการแข่งขันให้เหมาะกับแฟนบอลต่างทวีป โดยจะเห็นได้ว่าการแข่งขันที่เกิดขึ้นในอังกฤษ จะมีตั้งแต่เที่ยงๆ บ่ายๆ ไปจนถึงประมาณสองทุ่มเศษตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเป็นเวลาที่คำนวณมาแล้วว่า แฟนบอลในอีกซีกโลกยังสามารถรับชมได้แบบไม่ดึกจนเกินไป (เป็นห่วงเรื่องสุขภาพแฟนบอลด้วยเป็นไง)
ตลอดจนการขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ที่มาพร้อมคลิปไฮไลท์ประจำสัปดาห์ รวมลูกยิงสวยงามประจำปี รวมช็อตเด็ดในตำนาน อะไรประเภทนี้ เพื่อทำให้สีสันของฟุตบอลอยู่ในจอทีวีอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับสร้างเรื่องราวให้ผู้ชมในต่างแดนมีความรู้สึกร่วมตามไปด้วย
หรือแม้แต่การจัดทัวร์ให้สโมสรต่างๆ กระจายไปปรีซีซั่นกันที่ทวีปอื่นๆ โดยมีนโยบายที่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ในเอเชีย เพราะช่วงแรกมีข้อกำหนดว่า จะต้องมีสโมสรในพรีเมียร์ลีกไปปรีซีซั่นในเอเชียทุกๆ สองปี ซึ่งรวมไปถึงการสนับสนุนและสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนในประเทศห่างไกลด้วย สิ่งนี้ก็ยิ่งเป็นการสร้างความผูกพัน เพิ่มฐานแฟนบอล พร้อมกันนั้นยังช่วยสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อประเทศอังกฤษ
ทั้งหมดนี้ทำให้พรีเมียร์ลีกกลายเป็นเครื่องมือ Soft Power ที่ส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจอังกฤษ สร้างงานนับแสนตำแหน่ง นำรายได้ภาษีเข้ารัฐมหาศาล แม้ในช่วงเศรษฐกิจซบเซาอย่างโควิด-19 พรีเมียร์ลีกก็ยังสร้างมูลค่ากว่า 7,600 ล้านปอนด์
และไม่เพียงแต่ในมิติฟุตบอล เนื่องจากพรีเมียร์ลีกยังเป็นเวทีของนักลงทุนจากต่างชาติ ตั้งแต่ซาอุฯ จีน ไทย ไปจนถึงรัสเซีย ซึ่งเข้ามาซื้อหุ้นสโมสรและใช้สนามฟาดแข้งเป็นเครื่องมือส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศของตน
ขณะเดียวกัน สำหรับเมืองที่มีสโมสรชื่อดังก็ได้รับอานิสงส์ด้านการท่องเที่ยว การสร้างชื่อเสียง และยกระดับภาพลักษณ์ในสายตาคนนอกไปโดยปริยาย
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลลัพธ์อันเกิดมาจากกลยุทธ์ที่ชัดเจน จนพรีเมียร์ลีกไม่เพียงเป็น “ลีกฟุตบอล” หากแต่กลายเป็น “เมืองหลวงแห่งโลกลูกหนัง” และเป็นเครื่องมือทาง Soft Power อันทรงพลังของอังกฤษ กระทั่งกลายเป็นตัวอย่างของการใช้กีฬาเป็นเครื่องมือทาง Soft Power ที่ประเทศอื่นๆ ต้องศึกษาเป็นแบบอย่าง
…
อ้างอิง :