Skip links

จีนเปิดบ้านต้อนรับ Mr.Beast พร้อมผลักดัน Soft Power ยุคไลฟ์สด

ท่ามกลางความผันผวนของโลก สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน กระทั่งภาวะระส่ำระสาย การแสดงตัวด้วยความมั่นคงของประเทศมหาอำนาจอย่างจีน จึงเป็นที่น่าจับตามองในภูมิทัศน์ทาง Soft Power ของโลก อีกทั้งหลายฝ่ายยังวิเคราะห์ถึงบทบาทการเสริมสร้าง Soft Power ในเวทีโลกของประเทศจีน 

เพราะนอกจากหม่าล่า รถ EV หรือเสื้อผ้า/เครื่องสำอางแล้ว หนึ่งในกลยุทธ์ที่ถูกพูดถึงในช่วงนี้คือ การใช้เซเลบในโลกออนไลน์เป็นตัวแทนสำหรับฉายภาพลักษณ์ใหม่ๆ ของมหาอำนาจฝั่งตะวันออก เห็นได้จากการมาเยือนประเทศจีนเป็นครั้งแรกของ No.1 สายสตรีมมิ่งอย่าง IShowSpeed เมื่อต้นปีที่ผ่านมา 

ก่อนที่ Mr.Beast ผู้เป็น No.1 ด้านผู้ติดตาม ด้วยจำนวนกว่า 419 ล้านคนในแอปแดง จะตามมาสมทบในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี ด้วยการถ่ายทอดสดบนแพลตฟอร์มของจีน รวมถึงเปิดตัวบัญชีบนแพลตฟอร์มวิดีโอ และแอปของจีนอีกสองตัว

แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งคงเป็นการขยายตลาดของเน็ตไอดอลระดับโลก เพราะอย่างที่ทราบกันคือ หน่วยงานเซนเซอร์อินเทอร์เน็ตของจีน ได้บล็อกแพลตฟอร์มระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นแอปแดง หรือแอปดำ ดังนั้นชาวต่างชาติที่เข้ามาสร้างโปรไฟล์บนแพลตฟอร์มของจีน จึงมีโอกาสเข้าถึงผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 1.1 พันล้านคนของประเทศจีน

และเพียงแค่ประกาศว่าจะมีไลฟ์ของ Mr.Beast เกิดขึ้นในแอปดังของจีน ต่อมา หุ้นของแพลตฟอร์มเจ้าดัง ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ก็พุ่งขึ้น 7% ในเวลาต่อมาทันที 

อย่างไรก็ดี จากกระแสของทั้ง IShowSpeed และ Mr.Beast ในจีน ทำให้บางฝ่ายตั้งคำถามถึงเรื่องหลังบ้านว่า รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนเพื่อมาโปรโมทประเทศหรือเปล่า? ทว่าคำกล่าวอ้างเหล่านี้ก็ไม่มีหลักฐานมายืนยันได้ เป็นเพียงคำพูดลอยๆ ที่ยังไร้น้ำหนัก (แต่ว่าประเทศจีนก็มีโครงการอื่นที่พาอินฟลูฯ ต่างชาติมาทัวร์ประเทศเพื่อโปรโมทอยู่)

แต่สิ่งที่ดูจะแน่ชัดคือ ความเปิดกว้างที่มากขึ้นของประเทศจีน ตามที่ Nikkei Asia อ้างอิงคำพูดของ Mark Tanner กรรมการผู้จัดการของบริษัทวิจัยตลาด China Skinny ซึ่งกล่าวว่า 

“ประเทศจีนไม่ค่อยมั่นใจใน Soft Power ของตัวเองสักเท่าไร … IShowSpeed ทำให้พวกเขาเห็นว่านี่เป็นโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ … รัฐบาลจีนจึงยินดีต้อนรับอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ แทนการพยายามเซ็นเซอร์และคัดกรองเนื้อหา”

เพราะที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายกรณีที่เกิดขึ้นภายในจีนแผ่นดินใหญ่ ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือเรื่องสิทธิ-เสรีภาพ กระทั่งภาพลักษณ์เรื่องอำนาจนิยมที่ถูกถ่ายทอดออกไปยังสื่อต่างประเทศ 

การรับรู้ต่อจีน โดยเฉพาะในทวีปยุโรป-อเมริกา จึงอาจเป็นเป้าหมายที่จีนยุคใหม่ต้องการจะปรับปรุงแก้ไข เฉพาะยิ่งอาการหุนหันพลันแล่นของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกอบกับการที่แอปดำถูกแบนในอเมริกา ก็ยิ่งเปิดโอกาสให้จีนอ้าแขนโอบรับความเปิดกว้าง โดยหวังผลไปสู่การทำให้ภาพลักษณ์ดีขึ้น ขณะที่คู่ขัดแย้งมีท่าทีลุแก่อํานาจ 

การให้อินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามมหาศาล มาทำคอนเทนต์แบบเรียลๆ จึงอาจเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทาง Soft Power ที่อาจสร้างการรับรู้ หรือความรู้สึกใหม่ๆ ที่พลเมืองของนานาประเทศจะมีต่อชาติจีน   

หากเปรียบเทียบ ก็ไม่ต่างจากเวลาที่อินฟลูเอนเซอร์ไทยไปทริปต่างประเทศ และทำคลิปให้แฟนคลับรับชม หลายคนก็ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ของประเทศนั้นโดยปริยาย และทีนี้ คิดดูว่า อินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามหลักร้อยล้าน อิมแพ็คมันจะขนาดไหน

ท่ามกลางความท้าทายด้านภาพลักษณ์ กลยุทธ์หนึ่งของ Soft Power จีน ที่อาศัยพลังของอินฟลูเอนเซอร์ต่างชาติ จึงอาจจะแสดงศักยภาพในการประกอบสร้างมุมมองใหม่ๆ ที่ผู้คนทั่วโลกมีต่อมหาอำนาจจากเอเชีย 

โดยเฉพาะในแง่มุมของความเปิดกว้าง และพลังสร้างสรรค์ ซึ่งประเทศจีนอาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในเรื่องดังกล่าว กลยุทธ์นี้จึงไม่เพียงแต่เปิดประตูสู่การรับรู้ใหม่ๆ หากยังสะท้อนภาพลักษณ์ของจีนในฐานะประเทศที่พร้อมต้อนรับความสร้างสรรค์จากทั่วโลกด้วยเช่นกัน 

ทั้งหมดนี้คงจะเป็นวัตถุประสงค์ในการดำเนินกลยุทธ์ข้างต้น แต่ทว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็คงต้องรอดูกันไปยาวๆ ของแบบนี้มันเป็น Long term อะนะ ไว้มาประเมินกันอีกที

อ้างอิง : 

https://asia.nikkei.com/business/media-entertainment/china-embraces-us-youtubers-in-push-to-enhance-soft-power

https://theattraction.co/ishowspeed-boost-soft-power-china/https://theattraction.co/ishowspeed-boost-soft-power-china/

https://chinaobservers.eu/dancing-lions-chinas-influence-campaigns-target-influencers/