มูลค่าอุตสาหกรรมดนตรีในประเทศไทย อยู่อันดับ 5 ของเอเชีย และถึงแม้จะเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน แต่คำถามที่สำคัญคือ
“เราจะโตกว่านี้ได้อย่างไร?”
โดยเฉพาะในยุคที่วงการดนตรีบ้านเราพึ่งพารายได้จาก Showbiz เป็นหลัก และอัตราการเติบโตของตลาดในประเทศก็มีขอบเขตอันจำกัด หนึ่งในคำตอบที่ต้องไปให้ถึงก็คือ “ตลาดต่างประเทศ” และใช่หรือไม่ว่า เรามีบุคลากรที่เพียบพร้อมด้วยความสามารถ แต่สิ่งที่ยังขาดคือ “การสนับสนุนจากภาครัฐ”
เมื่อวันที่ 2 ก.ย 68 วิเชียร ฤกษ์ไพศาล ในฐานะอดีตประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านดนตรี พร้อมกับ ชาคริต พิชญางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) ได้ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนเกี่ยวกับแผนการผลักดันอุตสาหกรรมดนตรีไทยให้ก้าวไปสู่ระดับโลก โดยมีโครงการที่ดำเนินมาเป็นปีที่ 2 และคาดว่าจะดำเนินอย่างต่อเนื่อง ก็คือ “Music Exchange”
โครงการส่งเสริมศิลปินและธุรกิจเทศกาลดนตรีไทยไปสู่ตลาดสากล ซึ่งมีกลวิธีหลักๆ อยู่ 2 ประการคือ Push กับ Pull
(1.) Push คือการผลักดันให้ศิลปินไทยได้มีโอกาสแสดงผลงานในเวทีระดับโลก เริ่มต้นจากการเปิดรับสมัครศิลปิน เพื่อคัดเลือกไปเพอร์ฟอร์มบนเวทีเฟสติวัลระดับนานาชาติ เบื้องต้นในปีที่ผ่านมา มีการสนับสนุนค่าเดินทาง ที่พัก ให้แก่ศิลปินที่ถูกคัดเลือก
ทั้งนี้ ศิลปินที่ได้รับการสนับสนุน มีตั้งแต่เบอร์เล็ก-เบอร์ใหญ่ เนื่องจากการผลักดันวงการดนตรีในระยะยาว ไม่สามารถอาศัยวงที่ดังใน พ.ศ. นี้ได้เพียงอย่างเดียว หากต้องพึ่งพาคลื่นลูกใหม่ในอนาคตด้วย
พร้อมกันนั้น ยังต้องพิจารณาให้มีการส่งศิลปินบางรายชื่อซ้ำๆ เพื่อต่อยอดผลลัพธ์จากปีก่อนหน้าให้สืบเนื่องต่อไป
(2.) Pull การดึงดูดเครือข่ายธุรกิจต่างชาติ นับตั้งแต่สตูดิโอ ค่ายเพลง ผู้จัดเทศกาลดนตรี ให้เข้ามาเยี่ยมชมงานเทศกาลดนตรีในประเทศไทย และสัมผัสถึงศักยภาพของวงการเพลงในบ้านเรา โดยมีวัตถุประสงค์ให้เกิดการทำงานร่วมกันในอนาคต เพื่อสร้างการเติบโตในตลาดต่างประเทศต่อไป
ซึ่งกระบวนการตรงนี้ ยังต้องการแรงผลักดันจากภาครัฐ ทั้งการสนับสนุนทางการเงิน และช่องทางสานสัมพันธ์กับเครือข่ายต่างประเทศ เพื่อโอกาสในการขยายตลาดเพลงไทยสู่สากล
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ จำต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลากันหลายปี จึงจะเห็นผลลัพธ์เชิงประจักษ์ และถึงแม้โครงการ Music Exchange จะพึ่งดำเนินมาเป็นปีที่ 2 แต่ก็คาดว่าจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นตามลำดับในปีถัดไป
อย่างไรก็ดี หากกล่าวถึงการส่งออกของอุตสาหกรรมดนตรีในช่วงที่ผ่านมานั้น นับว่าน้อยมาก ต่างจากอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ ในประเทศหลายเท่าตัว แต่โมเดลลักษณะนี้เราเห็นแล้วว่าต่างประเทศสามารถทำให้สำเร็จได้จริง และหลังจากนี้อาจจะถึงเวลาของประเทศไทยแล้วก็เป็นได้
ขั้นตอนสุดท้าย การสนับสนุนอุตสาหกรรมดนตรี ไม่อาจวัดผลได้ด้วยสมการเดียวกันกับอุตสาหกรรมอื่น เพราะบรรดาศิลปินไม่ใช่สินค้าที่ถูกส่งออกเป็นล็อตๆ แล้วหมดไป แต่ผลงานที่ประทับลงในใจแฟนเพลงย่อมส่งผลกระทบทวีคูณได้มากกว่านั้น
กล่าวคือ ตัวศิลปินและผลงานสามารถส่งต่อ Culture ได้อีกมหาศาล เกิดเป็นวัฒนธรรมที่กระเพื่อมต่อไปอีกหลายทอด และอาจนำมาซึ่งผลประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น การท่องเที่ยว แฟชั่น อาหาร และอื่นๆ
แน่นอนว่า ผลประโยชน์เหล่านี้จะมองเพียงตัวเลขมูลค่าการส่งออกคงไม่ได้ แต่เป็น Spillover Effect ที่ต้องเริ่มศึกษากันอย่างจริงจัง เพื่อนำมาวิเคราะห์ และประเมินงบประมาณการสนับสนุนในปีต่อๆ ไป
อาจกล่าวได้ว่า โครงการ Music Exchange ถือเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นที่ดีของการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดนตรีประเทศไทย แม้แวดวงคนดนตรียังต้องการแรงสนับสนุนอีกมาก แต่คาดว่า ทิศทางของโครงการนี้กำลังดำเนินไปในแนวโน้มที่ดี ประกอบกับการผลักดันในมิติอื่นๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ การขอวีซ่า, ลิขสิทธิ์, one stop service สำหรับผู้จัดคอนเสิร์ต, การขอสถานที่ถ่ายทำ ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ เพื่อให้เสียงดนตรีสัญชาติไทยดังกึกก้องในเวทีโลก และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ผู้คนทั้งในและนอกวงการได้อย่างยั่งยืน เป็นจริง ในสักวันหนึ่ง
