Skip links

ทำไมกินเจ ต้องน่าหวาดเสียว? พิธีกรรมระหว่างร่างกาย จิตวิญญาณ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ทุกปี เมื่อถึงเทศกาล “กินเจ” หรือบางแห่งเรียกว่า “ถือศีลกินผัก” นอกจากธงสีเหลืองอร่ามที่แพร่สะพัดโดยทั่วแล้ว ในโลกออนไลน์ก็มักจะมีภาพบางส่วนของประเพณีที่ “น่าหวาดเสียว” แพร่สะพัดไปตามช่วงเทศกาล ซึ่งคนที่ไม่คุ้นเคยกับประเพณีดังกล่าวก็อาจตั้งคำถาม ตามหาเหตุผล ตลอดจนแสดงความเห็นไปในเชิงลบ ว่าปรากฏการณ์มันคืออะไรกัน? 

ซึ่งบทความนี้จะมีคำตอบให้หรือไม่? ก็คงต้องลองอ่านดูก่อน…  

เดิมทีแล้ว หลักฐานที่มาของเทศกาลกินเจในประเทศไทยนั้นค่อนข้างคลุมเครือ ไม่เป็นที่แน่ชัดนัก เนื่องจากเทศกาลนี้ไม่ได้เป็นที่นิยมในจีนแผ่นดินใหญ่แต่อย่างใด ทว่าชาวจีนที่อพยพมายังประเทศไทยนี่เอง ที่นำเอาความเชื่อเรื่องการ “ถือศีลกินผัก” เดินทางข้ามแผ่นดินมาถึงสยาม

เริ่มต้นจากทางตอนใต้ของบ้านเรา ในช่วงศตวรรษที่ 13 และ 14 ชาวจีนโพ้นทะเลหลายรายย้ายถิ่นฐานเข้ามา และบังเอิญพบแร่ดีบุกเข้า จึงปักหลักทำเหมืองแร่บริเวณตอนใต้ที่ขณะนี้เป็นของประเทศไทย และว่ากันว่า บรรพบุรุษแดนมังกรกลุ่มนี้ อาจจะเป็นกลุ่มที่นำพาธรรมเนียมการ “กินเจ” เข้ามาเป็นกลุ่มแรกๆ ก็อาจจะเป็นได้ 

แล้วการปฏิบัติตนอยู่ในศีล กลายเป็นแบบที่เราเห็นได้ยังไง?

หนึ่งในพื้นที่ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งใช้คำเรียกประเพณีว่า “ถือศีลกินผัก” โดยมีคำบอกเล่าว่า

เมื่อ พ.ศ. 2368 คณะงิ้วเร่จากเมืองจีน เดินทางมายัง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ซึ่งขณะนั้นกำลังเผชิญกับไข้ป่าระบาด คณะงิ้วจึงประกอบพิธีบวงสรวงตามความเชื่อของตน รักษาศีล-กินเจ หลังจากนั้นโรคร้ายก็หายไปจากชุมชน ชาวบ้านจึงพากันยึดถือศรัทธาตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการกินเจหรือบวงสรวงเทพเจ้า นับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงวันนี้ ก็เป็นเวลา 200 ปีพอดี

ประเพณีดังกล่าวนับว่าสะท้อนสังคมพุทธแบบไทย ซึ่งบางแห่งมีลักษณะเป็น “พุทธพหุเทวนิยม” คือมีความเชื่อในองค์เทพหลายองค์ มีการบูชาบรรพบุรุษ มีเจ้าเข้าทรง รวมถึงเทพพื้นบ้านต่างๆ ที่มีมาแต่เดิม ทำให้เกิดเป็นความเชื่อที่ผสมผสาน

โดยความเชื่อที่อยู่ใน “ม้าทรง” นั้นมีอยู่ว่า ขณะประกอบพิธี ม้าทรงจะมีเทพเจ้าประทับร่างอยู่ และมีพิธีกรรมเกี่ยวกับร่างกาย ใช้ของปลายแหลม, เดินลุยไฟ ฯลฯ ทั้งหมดเป็นความเชื่อเกี่ยวกับการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่อาจส่งผลต่อผู้คนหรือชุมชน และเชื่อว่าผู้ที่ประกอบพิธีกรรมเหล่านี้ ได้รับเคราะห์ร้ายต่างๆ ไว้แทนคนทั้งเมืองแล้ว 

ลักษณะดังกล่าว จึงเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนความหลากหลาย ทั้งในกลุ่มชนและความเชื่อ ซึ่งผสมผสานอยู่ในวัฒนธรรมไทยได้เป็นอย่างดี 

ท้ายที่สุดแล้ว เทศกาลกินเจจึงเป็นภาพสะท้อนหนึ่งของความพยายามที่จะเชื่อมโยงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ากับความเปราะบางของชีวิต เราอาจมองเห็นพิธีกรรมอันน่าหวาดเสียว หรือความศรัทธาที่ดูเข้มข้น แต่หากมองลึกลงไป มันคือกลไกของสังคมที่พยายามหาความหมายบางอย่างท่ามกลางความไม่แน่นอนของชีวิต

การกินเจจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของอาหารหรือศีลเท่านั้น หากยังเป็นการตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และสิ่งที่เรามองไม่เห็น สิ่งที่แม้เวลาผ่านไปสองศตวรรษ ก็ยังคงทำให้ผู้คนอยากเข้าใจ ทั้งเข้าใจในเหตุผลของความเชื่อ หรือแม้แต่ตัวความเชื่อเองก็ตาม

อ้างอิง : 

https://theattraction.co/phuketvegetarianfestival2024/ 

https://www.posttoday.com/politics/55255

https://themomentum.co/southern-thailand-chinese-history/

https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/1669398