Skip links

เมืองไทยแดนสวรรค์ ที่เงินเท่านั้น knock everything

10 วันวิปโยค คนไทยโศกทั่วหล้าระกำใจ หมอโดนเตะ, กะเทยถูกรุมอัด, หญิงโดนรัวหมัดชุดใหญ่ 3 เหตุการณ์สลดใจ เกิดขึ้นภายใน 10 วัน

 

ช่วงระหว่างปลายเดือนกุมภาพันธ์ ถึงต้นมีนาคมที่ผ่านมา เป็นช่วงสิบวันที่มีข่าวคนไทยถูกชาวต่างชาติทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บหนักติดต่อกันถึงสามเหตุการณ์ ประกอบไปด้วย

เหตุการณ์แรก วันที่ 24 ก.พ. 67 แพทย์หญิงชาวไทยเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ ชาวต่างชาติ ข้อหาทำร้ายร่างกาย ที่ชายหาดจังหวัดภูเก็ต

เหตุการณ์ที่สอง คืนวันที่ 3 มี.ค. 67 กะเทยไทยย่านสุขุมวิทถูกกะเทยฟิลิปปินส์รุมสกรัม และหมิ่นแคลน ทำให้คืนต่อมา จึงเกิดการชำระแค้นในวันกะเทยผ่านศึก

เหตุการณ์ที่สาม วันที่ 5 มี.ค. 67 สภ.เมืองตรัง รับแจ้งเหตุชายชาวต่างชาติทำร้ายร่างกายผู้หญิงไทยจนอ่วม กลางห้างสรรพสินค้า

 

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นในช่วงวันเวลาไล่เลี่ยกัน มิวายทำให้คนไทยผู้ขึ้นชื่อเรื่องขุดคุ้ย ย่อมสืบสาวราวเรื่อง และค้นประวัติต่างชาติผู้ก่อเหตุแต่ละราย

และเมื่อนั้นเอง จึงเป็นดั่งสำนวน “น้ำลดตอผุด” เนื่องเพราะทุกรายนามที่ทุกถูกสืบเสาะ ล้วนมีประวัติด่างพร้อยเรื่องการได้รับอภิสิทธิ์โดยมิชอบทั้งสิ้น มิหนำซ้ำ บางรายยังโชว์กร่างไม่ยอมนอบน้อมต่อกฎหมาย ทั้งยังคุยโวถึงบารมีเงินและเส้นสายที่กว้างขวางใหญ่โต

แต่หากจะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ความไม่เท่าเทียมของกฎหมาย และความเหลื่อมล้ำของกระบวนการยุติธรรมไทย เหล่านี้เป็นปัญหาคาราคาซังที่ยังแก้ไม่ตกเสียที ที่ผ่านมา จึงมีกรณีชาวต่างชาติหนีคดีและมาซุกตัวอยู่ในเมืองไทย บ้างก็ลักลอบค้าอาวุธ ค้ายาเสพติด ของผิดกฎหมาย หรือไม่ก็ประกอบธุรกิจสีเทาผ่านนอมินีคนไทย ทั้งแบบโจ่งแจ้ง และแบบเงามืด เรื่องนี้จึงไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับคนไทย หากแต่เป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างดาษดื่น

ทว่าในขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ สำหรับชาวต่างชาติที่อยากจะมาพักผ่อนหย่อนใจ ทำกิจกรรม ชมแหล่งธรรมชาติ ฯลฯ แต่เชื่อหรือไม่ว่า มีจำนวนไม่น้อยที่หวังเข้ามาพึ่งความหย่อนยานทางกฎหมายให้เป็นประโยชน์ทั้งทางธุรกิจ และทางส่วนตัว

 

อนี่ง ประเทศไทยมีธรรมชาติและวัฒนธรรมอันสวยงามที่สามารถดึงดูดชาวต่างชาติได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ความไร้ประสิทธิภาพทางกฎหมายก็อาจจะเป็นหนึ่งใน soft power ของเราที่ทำให้ชาวต่างชาติหลงใหลในประเทศไทยเช่นกันหรือเปล่า?

ลองคิดดูเล่นๆ ก็ได้ว่าชาวต่างชาติที่เข้ามาด้วยวัตถุประสงค์ทั้งสองแบบนี้ แบบไหนเยอะ / น้อย กว่ากัน? และคิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่? ลองคอมเม้นกันได้ที่ด้านล่างเลย