ไม่กี่วันที่ผ่านมา แบรนด์ Prada กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย เพราะหลังจากเปิดตัวรองเท้าแตะดีไซน์ใหม่ในงาน Milan Fashion Week ซึ่งดูๆ ไปแล้วก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับรองเท้าแตะโคลฮาปูรีของชาวอินเดีย อันมีต้นกำเนิดจากรัฐมหาราษฏระตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 แต่ในงานนั้น Prada กลับระบุรายละเอียดไว้เพียง “รองเท้าแตะหนัง” แค่นั้น
จึงทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า แบรนด์หรูชื่อดังไม่ยอมให้เครดิตกับมรดกทางวัฒนธรรมที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบ
โดยประเด็นหลักที่ฝ่ายเรียกร้องต้องการเสนอคือ หากคุณได้รับแรงบันดาลใจจากประเพณีที่หยั่งรากลึก อย่างน้อยคุณก็ต้องให้เครดิตที่มาของแรงบันดาลใจนั้นๆ ด้วย
อีกทั้ง รองเท้าแตะโกลฮาปูรียังได้ขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า GI ตั้งแต่ปี 2019 ทว่าพอไปอยู่บนเวทีแฟชั่นไฮโซ กลับไม่มีการพูดถึงถิ่นฐานที่มาของมันเลยสักคำ เพราะสำหรับชาวอินเดียบางส่วน พวกเขามองว่า นี่ไม่ใช่รองเท้าดาดๆ ที่ไร้คุณค่า แต่มันคือภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมากว่า 800 ปี
รองเท้าแตะเหล่านี้คืองานฝีมือของบรรพชนอินเดีย อันมีรากประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้ง ตั้งแต่ราชสำนัก ตลอดจนนักบวช และมันยังเป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องมือในการบำเพ็ญตบะด้วย
พูดอีกอย่างคือ Prada เอางานฝีมือของพวกเขามาใช้ แต่ไม่มีการพูดถึงพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ทำราวกับว่าพวกเขาไม่มีตัวตนซะอย่างงั้น นี่คือประเด็นสำคัญที่ทำให้หลายฝ่ายไม่พอใจ
สำหรับวงการแฟชั่น เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจในปัจจุบัน เนื่องจากทุกวันนี้ ผู้บริโภคสินค้าแบรนด์หรู เริ่มให้ความสำคัญกับตัวตนทางวัฒนธรรมมากขึ้น การใช้องค์ประกอบทางวัฒนธรรมอย่างมีบริบทจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเลือกซื้อสินค้า นี่อาจเป็นบทเรียนให้แบรนด์อื่นๆ ได้ตระหนักถึงสิ่งนี้ไม่มากก็น้อย
นอกจากนี้ สื่อสัญชาติอินเดียอย่าง Diamond World ยังเผยแพร่บทความชวนตั้งคำถาม ถึงโอกาสของ Soft Power ประเทศอินเดียไว้อย่างน่าสนใจ โดย Diamond World ระบุว่า งานฝีมือที่ละเมียดละไมถือเป็น Soft Power ของประเทศอินเดีย และเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามหาศาล
เพราะแหล่งที่มาของสินค้าต่างๆ จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า เมื่อใดที่ผู้บริโภคเข้าใจเรื่องราวเบื้องหลังชิ้นงาน รับรู้ถึงห่วงโซ่การผลิตและมรดกทางวัฒนธรรม เมื่อนั้นอินเดียจะไม่ได้เป็นแค่หลังบ้านให้แบรนด์ต่างๆ เท่านั้น อย่างไรก็ดี พวกเขายังต้องลงทุนเพื่อให้เป็นที่รู้จัก ส่งเสริมเรื่องราวของตัวเอง และสร้างการรับรู้ที่สะท้อนถึงตัวตนของพวกเขาให้มากกว่านี้
พอเป็นประเด็นร้อนในสังคม ต่อมาทาง Prada ก็มาแสดงความรับผิดชอบ โดย Lorenzo Bertelli หัวหน้าฝ่ายความรับผิดชอบต่อสังคมของปราด้า ได้ส่งจดหมายถึงหอการค้ารัฐมหาราษฏระ ซึ่งยอมรับว่ารองเท้าแตะดังกล่าว ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอินเดียจริงๆ ส่วนสถานะของสินค้ายังอยู่ระหว่างการพัฒนา ยังไม่แน่ใจว่าจะออกสู่ตลาดหรือไม่
อย่างไรก็ดี ทาง Prada ยืนยันว่าพวกเขายกย่องงานฝีมือ มรดก รวมถึงประเพณีการออกแบบมาโดยตลอด และพร้อมที่จะพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนกับช่างฝีมือท้องถิ่นของอินเดีย ตลอดจนจะจัดให้มีการประชุมติดตามผลต่อไป
เป็นการรับมือกับสถานการณ์ของ Prada ที่อาจผ่อนหนักเป็นเบาได้ แต่ก็คงต้องรอดูท่าทีกันหลังจากนี้ว่าจะยังไงกันต่อ
ในขณะที่ช่างฝีมือชาวอินเดียบางคนแสดงความผิดหวังต่อ Prada แต่ทว่าบางคนก็ยินดีที่ชื่อเสียงในมรดกทางวัฒนธรรมของพวกเขาได้เผยแพร่สู่สายตาชาวโลกมากขึ้น
จากประเด็นทั้งหมดนี้ คงเป็นบทเรียนให้กับวงการแฟชั่นโลก ทั้งนี้ทั้งนั้น มีการเสนอว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ก็ให้ช่างฝีมืออินเดีย แบรนด์ Prada และ Milan Fashion Week ทำงานร่วมกันไปเลย ไม่แน่ว่านี่ก็อาจเป็นทางออกหนึ่งที่น่าสนใจ
ซึ่งไม่ใช่แค่ช่วยสมานรอยร้าวเท่านั้น แต่ยังอาจต่อยอดไปสู่การสร้าง Soft Power ที่ยั่งยืนให้แก่งานหัตถศิลป์ของอินเดียได้ในระยะยาว เพราะเมื่อภูมิปัญญาท้องถิ่นได้รับการยอมรับและบอกเล่าในระดับโลก ผู้บริโภคก็จะมองเห็นคุณค่าและเรื่องราวเบื้องหลังของผลงานเหล่านั้น ซึ่งจะช่วยเสริมอัตลักษณ์ของช่างฝีมือ สร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่แข็งแรง และหล่อเลี้ยงความภาคภูมิใจในรากเหง้าวัฒนธรรมได้อย่างแท้จริง
…
อ้างอิง :