แม้ซีรีส์เรื่อง “เกมท้าตาย (Death’s Game)” จะจบไปตั้งแต่เมื่อต้นปีแล้ว แต่ซีรีส์เรื่องนี้ยังคงถูกพูดถึงอยู่ตลอด ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าทางเราเพิ่งมีโอกาสได้ดูเมื่อไม่นานนี้ แต่ก็ต้องสะดุดตากับโลโก้องค์กรต่าง ๆ ตั้งแต่วินาทีแรก ไม่ว่าจะเป็น
Ministry of Culture, Sports and Tourism รวมถึง Korean Film Council (kofic) และ “Korea Creative Content Agency (KOCCA)” ซึ่งอยู่ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงวัฒฯ
จะเรียกว่าแปลกก็ไม่เชิง แต่จะว่าปกติก็ไม่ใช่
เพราะจากประสบการณ์การดูซีรีส์มาหลายเรื่อง ส่วนใหญ่แล้วตำแหน่งนี้มักจะเป็นโลโก้ค่ายผู้ผลิต หรือโลโก้แอพสตรีมมิง
ส่วนชื่อผู้สนับสนุนหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องอื่นๆ จะอยู่ในเครดิตส่วนท้ายเรื่อง และน้อยครั้งมากที่จะมีชื่อองค์กรปรากฎตั้งแต่วิแรกแบบนี้ (หรืออาจจะมีแล้วเราแค่ไม่รู้…)
การที่กระทรวงวัฒฯ ทำเช่นนี้จึงนับได้ว่าเป็นการประกาศตัวครั้งสำคัญที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก เพราะเราต่างก็ทราบกันดีว่ารัฐมีองค์กรที่อยู่เบื้องหลังกระแสฮันรยู หรือ K-Wave มาโดยตลอด
ต่างจากครั้งนี้ที่กระทรวงวัฒฯ ดูจะกำลังแสดงตัวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะ KOCCA ที่เป็นคีย์หลักของการสนับสนุนคอนเทนต์ต่าง ๆ ที่เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของเกาหลีใต้มาเสมอ
ทว่า ในแต่ละปี เกาหลีก็ผลิตซีรีส์ออกมาตั้งเยอะ แต่ทำไม KOCCA ถึงเลือกซีรีส์เรื่องนี้ที่แค่เห็นชื่อก็รู้แล้วว่าไม่น่าอภิรมย์สักนิด แทนที่จะเลือกซีรีส์รักสดใสหรือส่งออกวัฒนธรรมเกาหลีบางอย่าง ดังที่องค์กรอื่นทำกันมา
เจ้าความไม่น่าอภิรมย์ของ Death’s Game นี่แหละที่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ KOCCA สนใจเรื่องนี้
โดย Death’s Game เป็นเรื่องราวของ “ชเวอีแจ” (รับบทโดยซออินกุก) หนุ่มชีวิตอาภัพที่พยายามบอกลาโลก เพื่อจบปัญหาล้านแปดที่รุมล้อมตัวเขา
“ยมทูตแห่งความตาย” (รับบทโดย พัคโซดัม) จึงลงโทษเขาด้วยการให้เขากลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างของผู้คนที่ใกล้จะตาย 12 คน ไม่ว่าจะเป็นมหาเศรษฐี นักเรียนที่ถูกบูลลี่ นักโทษในเรือนจำ นายแบบตัวท็อป หรือแม้กระทั่งเด็กทารก เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงการตายของทั้ง 12 ครั้ง ซึ่งถ้าเขาทำได้ เขาก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในร่างนั้นได้จนสิ้นอายุขัยตามธรรมชาติ
ด้วยความคาดหวังจากการเปิดโลโก้ KOCCA ตั้งแต่ต้นเรื่อง ทำให้ตลอดเวลาที่ดูเรื่องนี้ ‘เผลอ’ พยายามมองหา “วัฒนธรรม” ที่คิดว่าพอจะเป็นเหตุผลมากพอให้ KOCCA เลือกแสดงตัวเช่นนี้ เช่น ไก่ทอด โซจู หรือเกมปลาหมึก ?
กระทั่งดูจนจบแล้วเรากลับยังไม่พบวัฒนธรรมที่ว่านั้น เพราะ สิ่งที่เราจำเป็นต้องสนใจในเรื่องนี้ อาจไม่ใช่การส่งออก “วัฒนธรรม” อีกต่อไปแล้ว แต่น่าจะเป็นการส่งออก “ค่านิยม” ต่างหาก
ค่านิยม มักจะเป็นสิ่งที่ถูกลืมว่าเป็นหนึ่งในแหล่งที่มาของซอฟต์ พาวเวอร์ที่มีพลังไม่แพ้กัน ตามแนวคิดซอฟต์ พาวเวอร์ของโจเซฟ ไนย์
การจบชีวิตของพระเอกทั้ง 13 ครั้ง (นับรวมการจบชีวิตของชเว อีแจครั้งแรก) กำลังสะท้อนให้เราเห็น และค่อยๆ ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ชีวิตไปพร้อมกับทุกการเกิดใหม่ของชเว อีแจ
เนื่องจาก ในปัจจุบัน ผู้คนมักต้องแข่งขันกันประสบความสำเร็จ มีการงานมั่นคง แต่งงานมีลูก ชีวิตถึงจะแฮปปี้ โดยเฉพาะในเกาหลีใต้ที่ถูกขนานนามโดยคนเกาหลีเองว่าเป็น นรกโชซ็อน ซึ่งทำให้ในบางครั้งเราหลงลืมคนที่เรารักและรักเรามากที่สุดไป ซึ่งในท้ายที่สุด เขาก็เข้าใจว่า
“ความทรมานที่สุดจึงไม่ใช่ความตาย แต่เป็นการเห็นคนที่รักจากไปต่างหาก”
แม้ปัญหาการจบชีวิตของตัวเองในเกาหลี จะอัตราสูงมากจนติดอันดับต้นๆ ของโลก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหานี้เป็นปัญหาสากลที่พบเจอได้ในทุกพื้นที่ การสื่อค่านิยมเช่นนี้ไปยังผู้ชม จึงอาจนับได้ว่าเป็นการก้าวข้ามการนำเสนอตนเองผ่านวัฒนธรรม ไปสู่การนำเสนอ “ค่านิยมสากล” ในแบบของตัวเองมากขึ้น
ประกอบกับ อีกเหตุผลหนึ่ง คือการที่ซีรีส์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากเว็บโนเวลและเว็บตูนชื่อดังในชื่อเดียวกัน ซึ่ง “เว็บตูน” หรือ “K-webtoons” เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมต่อไปที่กระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวต้องการจะผลักดันให้เติบโตเป็นหนึ่งในเครื่องมือส่งออกซอฟต์ พาวเวอร์ด้วยเช่นกัน
จึงไม่น่าแปลกใจที่ในปัจจุบันซีรีส์เกาหลี 10 เรื่อง มักจะเป็นซีรีส์ที่ถูกดัดแปลงจาก เว็บโนเวลหรือเว็บตูนไปแล้ว 8 เรื่อง
เนื่องจาก เว็บตูน สามารถสอดแทรกวัฒนธรรม วิถีชีวิตของเกาหลี พร้อมกับนำเสนอค่านิยมสากลที่ทุกสังคมสามารถเข้าใจได้ไปพร้อมกันได้ ทำให้ในปัจจุบัน มีเว็บตูนเกาหลีถูกแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลกหลายภาษา รวมทั้ง ไทย เองด้วยเช่นกัน
มากไปกว่านั้น ในแง่ของการผลิต ผู้กำกับ “ฮาบยองฮุน” กล่าวถึงความทุ่มเทในการรังสรรค์ผลงานนี้ไว้ตั้งแต่ตอนเขียนบทว่าเขามีภาพนักแสดงที่เขาคาดหวังในใจไว้แล้ว
ทำให้ชเวอีแจในชาติต่างๆ มีมิติมากขึ้นด้วยฝีมือของนักแสดงระดับท็อป ไม่ว่าจะเป็น ชเวซีวอน, คิมแจอุค, คิมมีคยอง และนักแสดงอื่นๆ อีกมากมาย
อีกทั้ง ทางผู้กำกับยังทุ่มทุนถ่ายทำฉากต่างๆ เพื่อความสมจริงให้แตกต่างจากเว็บตูนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ฉากดิ่งพสุธา ฉากต่อสู้ และฉากมอเตอร์ไซค์โลดโพนที่ร่วมถ่ายทำกับผู้เชี่ยวชาญกันอย่างจริงจัง
เสริมด้วยการอาศัยเทคนิคเอฟเฟกต์พิเศษมารังสรรค์ฉากและการเสียชีวิตต่างๆ ที่เพิ่มความแฟนตาซีให้ซีรีส์เรื่องนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น จึงนับว่านี่อาจเป็นอีกหนึ่งผลงานสร้างสรรค์ที่รวมตัวผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของวงการในด้านต่างๆ มากมายไว้ในที่เดียว
แค่รายชื่อนักแสดงที่ยกกันมาแน่นจอ ประกอบกับพล็อตเรื่องและตัวละครก็นับได้ว่าเรียกเสียงผู้ชมได้มากพอแล้ว แถมท้ายยังมาพร้อมกับการสะท้อนค่านิยมสากล และการทุ่มเทให้กับการผลิตซีรีส์เรื่องนี้อาจเป็นเหตุผลสำคัญไม่มากก็น้อยที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ได้รับการสนับสนุนจาก กระทรวงวัฒฯ KOCCA และ Kofic
และยังชวนให้เรากลับมาตั้งคำถามว่า พอจะเป็นไปได้มั้ยที่ THACCA หรือองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนของไทยจะหันไปสนใจสนับสนุนซีรีส์/ภาพยนตร์ที่ดู “ไม่ไทย” แต่สอดแทรกค่านิยมไทยที่น่าสนใจ เหมือนที่ KOCCA สนับสนุน Death’s Game ได้หรือไม่
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ก็คงต้องหยั่งราก วัฒนธรรมไทย ในฐานะซอฟต์พาวเวอร์ให้แน่นก่อนหรือเปล่านะ?
สามารถรับชม “เกมท้าตาย (Death’s Game)” ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video TH
และสามารับชมตัวอย่างอย่างเป็นทางการได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=0DqUfJeknJw&t=4s