เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) ได้แถลงแนวทางนโยบายใหม่ของอุตสาหกรรมคอนเทนต์ ครอบคลุมตั้งแต่เกม อนิเมะ มังงะ ภาพยนตร์ ไปจนถึงดนตรี ซึ่งทั้งหมดถูกออกแบบภายใต้เป้าหมายใหญ่ของรัฐบาล คือขยายมูลค่าตลาดต่างประเทศของคอนเทนต์ญี่ปุ่นให้แตะ 130,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2033
นโยบายใหม่นี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งเดือนหลังจากสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น (Keidanren) ออกแถลงการณ์ด่วน เรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาสนับสนุนอุตสาหกรรมคอนเทนต์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับการแข่งขันระดับโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น
โดยลักใหญ่ใจความของนโยบาายนี้ มีด้วยกัน 5 ประการ
- สนับสนุนเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาว
- ผลักดันคอนเทนต์ญี่ปุ่นสู่ตลาดโลก
- ไม่แทรกแซงเนื้อหาของงานสร้างสรรค์
- สนับสนุนผู้ผลิตและสตูดิโอโดยตรง
- สนับสนุนผู้ที่พร้อมจะเผชิญความท้าทาย
METI ยืนยันว่า รัฐบาลต้องการให้ผู้ผลิตมั่นใจว่า “การสนับสนุนจากภาครัฐ” ไม่ได้หมายถึง “การจำกัดกรอบความคิดสร้างสรรค์” แต่คือการลงทุนในทรัพย์สินทางปัญญา (IP) บุคลากร และเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการสร้างเครือข่ายจัดจำหน่ายและฐานแฟนต่างประเทศ เพื่อให้คอนเทนต์ญี่ปุ่นก้าวทะยานไปทั่วโลกได้อย่างอิสระ
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาแม้อนิเมะญี่ปุ่นจะทำรายได้ทั่วโลกสูงเป็นประวัติการณ์ แต่สตูดิโอในประเทศกลับทยอยปิดตัวลงอย่างน่ากังวลติดต่อกันหลายปี โดยเฉพาะ 3 ปีให้หลังที่เกิดสภาวะ “การเติบโตที่ไม่ทำกำไร” (Profitless Boom) ซึ่งเป็นคำที่นักวิเคราะห์ใช้เรียกปัญหาซึ่งสตูดิโอในญี่ปุ่นต้องเผชิญ กล่าวคือ มีงานผลิตเพิ่มขึ้น แต่กำไรกลับลดลง
โดยปัญหาหลักที่หลายค่ายประสบคือ “ขาดแรงงานและภาระงานล้นมือ” สาเหตุจากระบบนิเวศที่ไม่เอื้อแก่คนทำงาน เนื่องจากมีการผลิตอนิเมะมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ทีมงานต้องทำงานหนักเกินตัว ต้องเร่งกำลังผลิตแบบแทบไม่ได้หยุดพัก ทำให้หลายคนลาออก และวงการต้องสูญเสียคนเก่งไปเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้ หลายค่ายจึงหันไปใช้บริการสตูดิโอต่างประเทศ แต่ทว่า การจ้างงานต่างประเทศช่วยบรรเทาภาระได้แค่บางส่วนเท่านั้น เนื่องเพราะค่าเงินเยนที่อ่อนลงและปัญหาควบคุมคุณภาพ ก็สร้างต้นทุนใหม่ที่สูงกว่าเดิม
นโยบายใหม่ของ METI จึงมุ่ง “ลงทุนในคน” อย่างจริงจัง เพราะหากรัฐบาลต้องการให้คอนเทนต์ญี่ปุ่นยึดครองเทรนด์ตลาดโลก ก็ต้องเริ่มจากการดูแลผู้ที่สร้างมันขึ้นมากับมือ
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ ความโปร่งใสในระบบสนับสนุน โดยทางการตั้งเป้าให้เงินทุนและทรัพยากรต่างๆ เข้าถึงสตูดิโอและบุคลากรสร้างสรรค์โดยตรง แทนที่จะผ่านขั้นตอนขององค์กรตัวกลางแบบเดิม แนวทางนี้อาจเป็นโอกาสครั้งใหญ่ของสตูดิโอขนาดเล็ก ที่มักถูกกลืนในวงจรอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นธรรม
ทาง METI มองว่า การให้ผู้สร้างสรรค์เข้าถึงทรัพยากรต่างๆ โดยตรงจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการทดลองไอเดียใหม่ๆ พัฒนา IP ต้นฉบับ และสร้างช่องทางรายได้จากตลาดต่างประเทศได้อย่างมั่นคงมากขึ้น ทั้งในยุคที่แพลตฟอร์มสตรีมมิงและสินค้าแฟนด้อมกลายเป็นหัวใจของธุรกิจบันเทิง
นโยบายใหม่นี้เป็นการวางโครงสร้างใหม่ของ Soft Power ญี่ปุ่น ที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และศักดิ์ศรีของผู้สร้างสรรค์เข้าด้วยกัน
เนื่องจากกระทรวงเศรษฐกิจฯ ยอมรับตามตรงว่า นโยบายก่อนหน้านี้ยังไม่ให้ผลลัพธ์ตามที่หวัง เฉพาะยิ่งหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีใต้ ซึ่งประสบความสำเร็จในการผลักดัน K-content สู่ตลาดโลกอย่างเป็นระบบ รัฐบาลญี่ปุ่นจึงตั้งเป้าปรับโครงสร้างใหม่ ทั้งในแง่การเงิน เทคโนโลยี และสิทธิเสรีภาพ เพื่อให้คอนเทนต์ญี่ปุ่นกลับมาปักธงนำด้านความสร้างสรรค์ในตลาดโลกได้ต่อไป
อ้างอิง :
