เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ Hollywood ครองความเป็นใหญ่ด้าน Soft Power ผ่านอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และปฏิเสธไม่ได้ว่า วงการบันเทิงอเมริกาครองความยิ่งใหญ่ สถาปนาตัวเป็นผู้กำหนดเทรนด์ สร้างรสนิยมจนทั่วโลกต้องสมาทานไปโดยปริยาย อีกทั้งยังยากจะหาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของชาติใดมาเป็นคู่เทียบได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
จนกระทั่ง เมื่อไม่นานมานี้มหาอำนาจฝั่งตะวันออกอย่าง ประเทศจีน ได้จับแนวทางที่น่าจับตามองอย่าง “ละครสั้น” หรือ “Micro Drama” ซึ่งกำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับชมของผู้บริโภคทั่วโลกอย่างรวดเร็ว และนี่อาจเป็นสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ระหว่างสมดุลอำนาจทางวัฒนธรรมหลังจากนี้
ท่ามกลางสงครามการค้าที่ร้อนระอุ อิทธิพลทางวัฒนธรรมก็เป็นหนึ่งในการแข่งขันที่กำลังเข้มข้นเช่นเดียวกัน เพราะจุดเปลี่ยนสำคัญคือ ละครสั้นที่เข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้ง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโรงภาพยนตร์ ดูที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ เวลาต่อตอนมีตั้งแต่ 5-10 นาที เหมาะสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยมีเวลา ต่างจากภาพยนตร์ Hollywood ที่ไม่ได้เข้าถึงและแทรกซึมไปยังชีวิตประจำวันของผู้บริโภคได้ถึงเพียงนี้
อุตสาหกรรมละครสั้นของจีน มีมูลค่ามากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ยังไม่นับรวมภาพยนตร์ในโรงที่จีนก็ให้ความสำคัญอยู่ โดยเฉพาะแนวอนิเมชั่น และ CG ที่ต้องบอกว่าจีนทำดี ทำถึง ไม่น้อยหน้าฝั่งตะวันตก แม้ว่าข้อจำกัดของจีนจะอยู่ที่ระเบียบภาครัฐที่คุมเข้ม แต่ทว่าอุตสาหกรรมบันเทิงจีนก็มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในระดับโลก
อย่างไรก็ดี ข้อได้เปรียบที่สำคัญของละครสั้นคือ ความยืดหยุ่นในรูปแบบและต้นทุนการผลิต ที่สามารถปรับขนาดและทดลองใช้ได้อย่างรวดเร็ว แพลตฟอร์มอย่าง Douyin (TikTok ของจีน), Xiaohongshu, iQiyi และ Tencent Video เต็มไปด้วยละครสั้น และแบรนด์ต่างๆ ก็เริ่มผสานรวมผลิตภัณฑ์ของตนเข้ากับเนื้อเรื่อง เพื่อการโฆษณาที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น รวมถึงปรับตัวตามความต้องการของตลาดในแต่ละภูมิภาค และกระแสนิยมของผู้ชมได้อย่างคล่องตัว ต่างจากวิธีการแบบดั้งเดิมของภาพยนตร์ Hollywood ที่มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวน้อยกว่า
อีกทั้งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีการเปิดเผยโครงการ Micro Drama Plus จากสำนักงานวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์แห่งชาติของประเทศจีน ซึ่งมีเป้าหมายที่จะผลิตละครสั้นราว 300 เรื่องในปีนี้ และหนึ่งในแผนงานที่ว่านั้นคือการผลิตละครสั้น 100 เรื่องเพื่อนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ทิวทัศน์ธรรมชาติ รวมถึงสถานที่สวยงามตามเมืองต่างๆ ซึ่งนำมาสอดประสานผ่านเนื้อเรื่อง เห็นได้ชัดเจนว่า ทางการจีนเล็งเห็นถึงความสำคัญในการนำเสนอ Soft Power ผ่านละครสั้น
ในอดีต มีคำกล่าวที่ว่า กระทรวงวัฒนธรรมที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดของสหรัฐคือ Hollywood แต่ทุกวันนี้ ดูเหมือนประเทศจีนก็กำลังดำเนินแนวทางใกล้เคียงกัน หากแต่ใช้ละครสั้น ที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายกว่า แม้ Hollywood จะยังคงครองความยิ่งใหญ่ในระดับโลก แต่อิทธิพลของ Hollywood กำลังถูกท้าทายด้วยกลยุทธ์ที่ต่างออกไปของจีน
การแข่งขันทางด้าน Soft Power ของสองขั้วมหาอำนาจนี้ เป็นหนึ่งในการสร้างการรับรู้ และมุมมองที่ประเทศปลายทางมีต่อประเทศต้นทาง โดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่ ใครสามารถดึงดูดผู้ชมกลุ่มเล็กๆ ที่ใช้มือถือเป็นหลักด้วยเรื่องราวที่ทัชใจผู้ชมได้มากกว่า ผลลัพธ์ที่ได้ ไม่ใช่เพียงแต่กำหนดภูมิทัศน์อุตสาหกรรมบันเทิงโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องเล่าทางวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อมุมมองชาวโลกในศตวรรษที่ 21 อีกด้วย