หลังจีนทดลองฟรีวีซ่าชั่วคราว 6 ประเทศ ในวันที่ 24 พ.ย. 2566 ได้แก่ ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, สเปน และมาเลเซีย เป็นที่น่าเสียดายที่ยังไม่มีประเทศไทย อยู่ในลิสต์ ณ ตอนนั้น ร้อนถึงรัฐบาลต้องเปิดโต๊ะเจรจากินเวลากว่า 3 เดือน จนนายกเศรษฐา ทวีสิน ก็ประกาศข่าวดีต้อนรับต้นปี 2567 เพื่อสานต่อการยกเว้นวีซ่าชั่วคราว ให้กับคนจีนที่เดินทางมาไทย ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งใกล้จะหมดเขตลง โดยทั้งนักท่องเที่ยวทั้ง 2 ประเทศสามารถเดินทางไป ไทย-จีน แบบไม่ต้องขอวีซ่าถาวรได้แล้ว เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2567 นี้!
เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2567 จีนจะยกเลิกการขอวีซ่าสำหรับคนไทยถาวร ทำให้ผู้ที่เดินทางทั้งสองประเทศ ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่ากันอีกต่อไป “สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา และหนังสือเดินทางกึ่งราชการ สามารถพำนักได้ไม่เกิน 30 วัน รวมระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน ภายในช่วงเวลา 180 วัน (ยกเว้นกรณีการพำนักถาวร การทำงาน การศึกษา กิจกรรมด้านสื่อ หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้า)”
นายเศรษฐากล่าวเสริมว่า การฟรีวีซ่าถาวรครั้งนี้ ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศและยกระดับความสำคัญของพาสปอร์ตไทยให้สูงขึ้น จึงแจ้งไปยังกรมประชาสัมพันธ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ร่วมกันประชาสัมพันธ์ว่า “เราพร้อมแล้วที่จะเปิดประเทศ และจะดูแลนักท่องเที่ยวของ 2 ประเทศให้ดีด้วย”
หลังข่าวฟรีวีซ่าระหว่างไทย-จีน ปล่อยออกมาไม่นาน “Trip.com” บริษัทท่องเที่ยวรายใหญ่ของจีน เผยว่า คำสืบค้นเกี่ยวกับ “ไทย” เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 90 รวมถึงคำค้นหาเกี่ยวกับ “เที่ยวบินเซี่ยงไฮ้-กรุงเทพฯ” “ปักกิ่ง-กรุงเทพฯ” และเที่ยวบินอื่นๆ เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 40
อีกทั้ง ปริมาณยอดจองโปรแกรมท่องเที่ยวจากจีนไปไทย ตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.ไปถึงช่วงวันที่ 10 ก.พ. ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลตรุษจีน มียอดพุ่งสูงขึ้น 10 เท่า หากเทียบกับปริมาณยอดจองในช่วงเดียวกันของปี 2023
ส่วนปริมาณยอดจองโปรแกรมท่องเที่ยว จากไทยไปจีน เพิ่มขึ้น 779 เปอร์เซ็นต์ หากเทียบกับปริมาณยอดจองในช่วงเดียวกันของปี 2023 โดยส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวไทยมักนิยมไปยังเมืองต่าง ๆ เช่น เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว ปักกิ่ง ฮาร์บิน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ย้ำว่า หากไทยตั้งเป้าว่าในปี 2567 ต้องการนักท่องเที่ยวจีน 8 ล้านคน จำเป็นต้องทำการตลาดมากกว่านี้ หรืออาจจะต้องรอดูช่วงตรุษจีนที่กำลังจะถึงในอีกไม่กี่วันนี้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะเพิ่มขึ้นเท่าใด
นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) คาดการณ์ว่า ช่วงเทศกาลตรุษจีนตั้งแต่วันที่ 4 – 16 ก.พ. 2567 จะมีจำนวนผู้โดยสารจากทั่วโลกเดินทางผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประมาณ 2,366,940 คน หรือเฉลี่ยวันละประมาณ 182,072 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก ช่วงเทศกาลตรุษจีนของปีก่อน ร้อยละ 32.73 โดยแบ่งเป็น ผู้โดยสารระหว่างประเทศ ประมาณ 1,949,564 คน และผู้โดยสาร ภายในประเทศ ประมาณ 417,376 คน
แม้จะยังไม่ทราบสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนอย่างแน่ชัด แต่สถิตินี้อาจเป็นสัญญาณดีว่าอาจมีการท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น
มากไปกว่านั้น The Attraction คิดว่า อีกหนึ่งเทศกาลที่น่าสนใจที่มีศักยภาพมากพอที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากจีน รวมถึงนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ ก็คือ “Water Festival” เทศกาลสงกรานต์ ที่ปีนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อผลักดัน Soft power ไทยให้ไปไกลมากกว่านี้ และอาจเป็นอีกหนึ่งเทศกาล ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นได้อีกทางด้วย