“MAZDA SUPER OFFER – ดอกเบี้ยต่ำสุด 0% ส่วนลดสูงสุด 120,000 บาท! “
“ซูซูกิ เซียส ลดเลยทันทีคันละ 1.5 แสนบาท ส่วนซูซูกิ เอ็กซ์แอล 7 ลดอีก 8 หมื่นบาท แถมขับฟรี 90 วัน หรือ ผ่อนนาน 90 เดือน ! “
ฯลฯ
ข้อเสนอล่อตาล่อใจเงินโบนัสต้นปี 2567 ของบรรดารถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่ประกาศโปรโมชันลด-แลก-แจก-แถมกันแบบรัวๆ ทำเอาผู้คนเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศ “แปลกๆ” ในวงการรถยนต์ เพราะถ้าจะบอกว่าข้อเสนอเหล่านี้เป็น “ของขวัญ (?)” ที่แต่ละแบรนด์ต่างต้องการมอบให้ลูกค้าด้วยใจ หรือเตรียมเอาไว้เพื่อต้อนรับงานมอเตอร์โชว์ 2024 ที่กำลังจะถึง ในวันที่ 27 มีนาคม – 7 เมษายน 2567 ก็ดูจะเป็นของขวัญที่มากเกินไปหน่อยหรือเปล่า…
จุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์นี้ อาจจะต้องย้อนไปในช่วงปี 2566 ซึ่งเป็นช่วงที่ยอดขายกลุ่มรถยนต์ญี่ปุ่นชื่อดังในไทย ทั้ง มาสด้า นิสสัน ซูซูกิ เริ่มพากันติดลบเข้าขั้นวิกฤต เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการปล่อยไฟแนนซ์ ประกอบกับอีกหนึ่งปัจจัยหลัก นั่นคือ การเข้ามารุกรานตลาดของรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV โดยเฉพาะจาก จีน ทำให้รถน้ำมันสัญชาติญี่ปุ่นเริ่มเป็นที่นิยมน้อยลง
รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นแบรนด์ต่างๆ จึงเริ่มหันมากระหน่ำลดราคา แจกสิทธิพิเศษ แถมฟังก์ชันใหม่ในตัวรถกันแบบไม่ยั้ง เพื่อกู้ยอดขายกลับคืนมา แม้จะทำให้กำไรต่อคันที่ได้จากการขายรถลดน้อยลง แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำสำหรับการรักษาฐานการผลิตและกลุ่มธุรกิจการค้าในไทยให้คงอยู่ต่อไป
เนื่องด้วย กระแส “รักษ์โลก” ทำให้รถ EV ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในไทยที่ต้องประสบกับปัญหาฝุ่นควันและมลพิษ ซึ่งส่วนหนึ่งมากจากการใช้รถใช้ถนน แถมด้วยค่าน้ำมันที่มีแต่ข่าวว่าจะเพิ่มและไม่มีวันลด ทำให้รถ EV เริ่มเข้ามามีผลต่อหัวใจและกระเป๋าตังค์ของเรามากขึ้น
ประกอบกับ ในปีเดียวกันนั้นเอง รัฐบาลไทยเริ่มให้การสนับสนุนการนำเข้ารถ EV มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น ภายใต้มาตราการสนับสนุน EV3.0 ที่มุ่งปรับลดภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต แถมพ่วงด้วยเงินอุดหนุนตามราคาและขนาดแบตเตอรี่อีก ทำให้รถ EV เริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดรถและบนท้องถนนมากขึ้น
แต่การรับดีลข้อเสนอนี้ต้องตั้งอยู่บนเงื่อนไขการก่อตั้งโรงงานและเดินสายการผลิตในประเทศไทยเท่านั้น เพื่อก่อร่างสร้างภาพลักษณ์ให้ ไทย กลายเป็น ศูนย์กลางการผลิตตรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
อย่างไรก็ตาม ในปี 2024 อาจมีการเปลี่ยนแปลงในวงการรถ EV อีกครั้ง เนื่องจากรัฐบาลยืนยันเดินหน้าปรับมาตราการจาก EV 3.0 → EV 3.5 ซึ่งจะทำให้บริษัทผลิตรถ EV ต่าง ๆ ได้รับเงินสนับสนุนการนำเข้าและผลิตรถ EV น้อยลง อีกทั้ง ยังมีการทยอยเปิดตัวโรงงานการผลิตในไทยตามมาตราการเดิม อาจจะส่งผลต่อการควบคุมต้นทุน ทำให้ผู้เชี่ยวชาญต่างออกมาคาดการณ์กันว่า ในปี 2024 ราคารถ EV อาจจะแพงขึ้น
อีกทั้ง ศูนย์วิจัยธนาคารกสิกรไทย ยังรายงานว่า เมื่อเทียบสัดส่วนจำนวนสถานีชาร์จไฟสาธารณะกับจำนวนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า พบว่า ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งอาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผู้คนเลื่อนระยะเวลาการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าลง
ไม่ต่างจากตลาดญี่ปุ่น เพราะเมื่อดูท่าว่าตลาดรถไฟฟ้าจีนในไทยจะเริ่มวิกฤต ตลาดรถไฟฟ้าจีนในไทยเองก็เริ่มออกมาสู้ด้วยการปรับลดราคาลงด้วยเช่นกัน ทำให้ในตอนนี้ เกิดการแข่งขันกันอย่างดุเดือดทั้งในฝั่งรถญี่ปุ่นด้วยกันเอง และในฝั่งรถไฟฟ้าจากจีนด้วยเช่นกัน
อีกทั้ง ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีนเองก็กำลังอยู่ในช่วงสงครามราคาไม่ต่างกัน เพราะขณะนี้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีนเกิดการแข่งขันด้านราคากันอย่างดุเดือด โดยล่าสุด “BYD (บีวายดี)” บริษัทรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของจีนประกาศลดราคารุ่นซีกัล (Seagull) ซึ่งเป็นรุ่นที่ถูกที่สุดของบริษัทให้ถูกลงไปอีก เหลือเพียง 69,800 หยวน หรือราว 349,000 บาทเท่านั้น ซึ่งอาจจะส่งผลถึงราคารถของบีวายดีในไทยได้ในอนาคต
แม้ไทยจะเป็นเพียงหนึ่งในประเทศที่ใช้รถญี่ปุ่นจำนวนมาก แต่วิกฤตนี้ก็ทำให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคในตลาดรถที่กำลังเปลี่ยนไป ซึ่งการผลิตแบบต้องเป๊ะ ต้องปังสไตล์ญี่ปุ่น อาจจะไม่ตอบโจทย์โลกปัจจุบันที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วแล้ว ซึ่งกว่าจะถึงวันถือกำเนิดรถ EV สัญชาติญี่ปุ่นในไทย ผู้ผลิตเหล่านี้จะต้องปล่อยให้ผู้บริโภคมาเก็บแต้มฟาร์ม “ของขวัญ” กันไปอีกกี่ปี
หรือจะถึงวันที่ตลาดเปลี่ยนไปไม่ใช้รถ EV อีกเลย เพราะการแข่งกันหั่นราคาหลักแสนแบบนี้
…
อ้างอิง
https://www.thansettakij.com/motor/ev/590066
https://workpointtoday.com/toyota-and-pure-ev-vision/
https://www.prachachat.net/motoring/news-1514613
https://www.khaosod.co.th/car-vehicle/news_8126921
https://mgronline.com/china/detail/9670000021383