Skip links

รีวิว Light Shop…ร้านโคมไฟแสงสุดท้าย จะเป็นหรือตาย เลือกเองได้

ณ ซอยมืดมิดแห่งหนึ่ง ทุกค่ำคืน จะมีร้านขายโคมไฟส่องสว่างอยู่ท้ายซอย คอยต้อนรับลูกค้าแปลกหน้าที่เดินแวะเวียนเข้ามาตามหา “หลอดไฟ” ที่พวกเขา “ต้องการ” กลับคืนไป  

Light Shop (조명가게) – ซีรีส์เกาหลีลึกลับแฟนตาซีส่งท้ายปี 2024 ดัดแปลงจากผลงานเว็บตูนในชื่อเดียวกัน 조명가게 ที่ถูกเผยแพร่มาตั้งแต่ปี 2011 โดย คังฟูล (강풀) – นักเขียนเว็บตูนมากฝีมือที่ถูกตาต้องใจสายบันเทิงให้หยิบไปทำหนัง แอนิเมชัน และซีรีส์มาแล้วหลายเรื่อง อาทิ Apt. (2006), Timing (2014) และ Moving’ (2023) ซีรีส์ออริจินัลจาก Disney+ ที่กวาดรางวัลและรายได้ไปมากมาย

Light Shop เองก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ดูท่าว่าจะไปได้สวย กวาดรางวัลตาม Moving ไปติด ๆ ด้วยทักษะการเล่าเรื่องที่ยังคงเหนือชั้น โดยเปิดเรื่อง 4 ตอนแรกแบบทิ้งปมสยอง ชวนสงสัยไว้ให้คนดูมากมายเกี่ยวกับซอยมืดมิดสุดประหลาดที่เหมือนจะมีสิ่งลี้ลับอยู่ทุกจุด จนต้องมีสมาธิเพ่งมองตามมุมมืดต่าง ๆ ก่อนจะเฉลยทุกอย่างให้กระจ่างใน 4 ตอนท้าย 

ยังไม่ตาย แล้วไปไหน?

คำถามที่ว่าตายแล้วไปไหน? อาจมีคำตอบรอให้ถกเถียงอยู่มากมาย สุดแท้แต่ความเชื่อที่แต่ละคนพึงมี ทั้งไปนรก สวรรค์ หรือไม่ได้ไปไหนเลยแล้วดับสลายหายไปดื้อ ๆ 

แต่อีกหนึ่งคำถามชวนสงสัยไม่ต่างกันว่า ถ้ายังไม่ตายล่ะ จะไปอยู่ที่ไหน? 

เมื่อวันหนึ่ง เกิดเหตุรถเมล์โดยสารพลิกคว่ำ จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหนักขั้นโคมาหลายรายที่กำลังอยู่ในเส้นแบ่งชีวิตที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็น-ความตาย ซึ่งในห้วงเวลานั้นเอง พวกเขาอาจกำลังเดินทางวนเวียนอยู่ในอุโมงค์มืดมิด เพื่อตามหาแสงสว่างแห่งชีวิตกลับมาอีกครั้ง

ร้านโคมไฟจึงเป็นหนทางหาคำตอบของคำถามนี้ โดยมีจองวอนยอน (รับบทโดย จูจีฮุน) เป็นเจ้าของร้านโคมไฟท้ายซอยที่รอให้ผู้คน “ตั้งใจ” กลับมาหาหลอดไฟของตัวเองกลับไป เพื่อให้ผู้คนที่มาที่ร้านโคมไฟแห่งนี้เลือกเองได้ว่าจะ “ตั้งใจ” กลับไปมีชีวิตอีกครั้ง หรือ “ตั้งใจ” อยู่ต่อในโลกนี้ต่อไป ดังนั้น ร้านโคมไฟแห่งนี้จึงเป็นเหมือนพื้นที่แห่งความเป็น-ความตาย โดยมีจองวอนยอน ทำหน้าที่คอยเฝ้าส่งคนที่ “ตั้งใจ” ได้กลับไปมีชีวิต

“ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นโลกที่คนอยู่ไม่ใช่หรอ” 

ในเมื่อซอยนั้นมีร้านโคมไฟและจองวอนยอนคอยดูแล ในพื้นที่ที่ร่างกายยังหายใจได้อยู่ ก็มี ควอนยองจี (รับบทโดย พัคโบยอง) พยาบาสาวที่คอยดูแลเหล่าผู้โดยสารที่อยู่ในภาวะกึ่งเป็น-กึ่งตาย รอวันที่กลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง แต่เช่นนั้นแล้ว แม้พยาบาลและหมอจะร่วมด้วยช่วยกันดูแลรักษาสุดความสามารถขนาดไหน คำตอบของชีวิตก็ยังคงขึ้นอยู่กับ “ความตั้งใจของคนไข้” ในการตามหาแสงสว่างในร้านโคมไฟ เพื่อกลับมายังอีกโลกหนึ่ง

ตายแล้วไปไหน ?

ระยะหลังมานี้ มีทั้งซีรีส์ หนัง เว็บตูน เผยมุมมองโลกหลังความตายในวัฒนธรรมและสังคมเกาหลีอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะ The Last 49 Days – ฝ่า 7 นรกไปกับพระเจ้า (2017/2018) / Hotel Del Luna – รอรักโรงแรมพันปี  (2019)/ Missing: The Other Side (2020/2022)

“คุณจะได้ไปที่สว่างกว่านี้เร็ว ๆ นี้”

เนื่องจาก Light Shop เล่าเรื่องการมีชีวิตอยู่ในภาวะเส้นแบ่งกึ่งเป็น-กึ่งตาย ทำให้เรื่องราวเผยให้เห็นถึงมุมมองด้านหนึ่งที่ชาวเกาหลีมีต่อเรื่องโลกหลังความตายผ่านบทสนทนาเรียบง่ายในห้องดับจิต ขณะที่เจ้าหน้าที่อาบน้ำและแต่งหน้าศพ

ก่อนที่จะนำร่างไร้วิญญาณไปประกอบพิธีศพ จะมีเจ้าหน้าที่อาบน้ำและแต่งหน้าศพ เพื่อให้เจ้าของร่างได้ชำระล้างความทรงจำในโลกนี้ และหวังให้พวกเขาได้เดินทางไปสู่สุคติ โดยไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป

เมื่อเสร็จขั้นตอนในการเตรียมตัวแล้ว ร่างไร้วิญญาณจะถูกนำไปประกอบพิธีศพเป็นเวลา 3 วัน เพื่อให้ญาติได้รวมตัวกันบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย และยังเป็นช่วงเวลาแห่งความหวังที่เว้นไว้ เผื่อว่าคนที่จากไปจะฟื้นกลับมาอีกครั้ง รวมถึงยังเป็นเวลาที่คนจากไปจะได้ทำตามความหวังสุดท้ายของตัวเองก่อน เพราะคนที่อยู่และคนที่ไปต่างต้องการเวลาบอกลาไม่ต่างกัน  

เมื่อ "ไปไม่กลับ" นับว่าคือ "อิสระ"

ผู้โดยสารที่ประสบอุบัติเหตุในครั้งนี้ เกือบทุกคนล้วนมีเส้นทางชีวิตของตัวเองให้ได้เดินทางกลับมาใช้ชีวิตอีกโลกอีกครั้ง ซึ่งอาจจะจำเป็นต้องใช้การกระตุ้นจากคนรอบข้างอยู่บ้าง อย่างเช่น แม่ที่ถึงแม้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ยังให้ลูกสาวออกไปยังร้านโคมไฟทุกครั้ง เพื่อให้ลูกสาวซื้อหลอดไฟของตัวเองกลับมา

หรือคู่รักฝ่ายชายที่จำแฟนสาวของตัวเองไม่ได้ แต่แฟนสาวก็ยังคงพยายามให้ฝ่ายชายเดินทางไปร้านโคมไฟ ไปจนถึงน้องหมากู้ภัยและเจ้าของที่ถึงแม้จะไม่ใช่ผู้โดยสารในรถเมล์คันนี้ แต่ก็ถูกส่งมายังซอยแห่งนี้ในเวลาเดียวกัน น้องหมาก็ยังพยายามส่งเจ้าของให้ไปร้านโคมไฟอย่างไม่ลดละ

เว้นแต่ผู้โดยสารสองคนที่ 1 คนไม่ได้เลือกจะเดินจากไป แต่อีกคนตัดสินใจเลือกเดินตามไป 

ในช่วงแรก เรื่องราวดำเนินให้เห็นว่า นักเขียนสาวที่ชื่อว่า ซอนแฮ (รับบทโดย คิมมินฮา) กำลังหาที่อยู่ใหม่ จนเจอห้องเช่าแห่งหนึ่ง แต่ห้องเช่าแห่งนี้เธอไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะมีสิ่งลี้ลับอีกหนึ่งสิ่งอยู่กับเธอด้วย นั่นคือแฟนสาวของเธอที่เสียชีวิตไปก่อน เพราะปกป้องเธอจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และพยายามหลอกให้เธอกลับไปยังร้านโคมไฟ 

อย่างไรก็ตาม แม้ประตูจะเปิดอยู่ แต่เธอไม่รู้ต้องออกไปอย่างไร และต่อให้ออกไปแล้ว ซอนแฮก็ตัดสินใจพังแสงสุดท้ายของตัวเองทิ้ง หากการเดินทางตามแสงกลับมายังอีกโลกไม่ได้ทำให้ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกัน เธอจึงเลือกที่จะอยู่ต่อไปในซอยมืดมิดแห่งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าสังคมเกาหลียังคงไม่ยอมรับ LGBTQ+ จนการเลือกจบชีวิตเป็นทางออกที่ดีกว่า และยังสะท้อนให้เห็นว่าการเป็น LGBTQ+ ในเกาหลีนั้นทำได้เพียงแค่อยู่ในมุมมืดมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น 

แสงสะท้อนสังคม

นอกจาก Light Shop จะเปิดเผยมุมมองความเป็น – ความตายในสังคมเกาหลีแล้ว ยังคงทำหน้าที่สะท้อนปัญหาสังคมเกาหลีตามแบบฉบับซีรีส์เกาหลีทำมาได้อย่างดี ผ่านชีวิตของเหล่าผู้โดยสารที่เลือก จะตั้งใจอยู่ หรือ จะตั้งใจเดินทางจากไป เพราะนอกจากเรื่องการเป็นคู่รักแซฟฟิกที่ไม่ได้รับการยอมรับในสังคมแล้ว ยังมีอีกสองประเด็นที่น่าสนใจที่ถูกถ่ายทอดผ่านผู้โดยสารคนหนึ่ง และคนขับรถเมล์ 

บนรถคันนี้มีผู้โดยสารชายคนหนึ่งกำลังจะเดินทางไปหาแฟนสาว แต่กลับต้องประสบอุบัติเหตุเสียก่อน และเมื่อแฟนสาวทราบข่าวจากครอบครัวฝ่ายชายว่าฝ่ายชายเสียชีวิตไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ยังอยู่ในภาวะโคมา เพื่อกีดกันเธอ เนื่องจากเธอเป็นผู้พิการที่มีภาวะบกพร่องทางการพูด ทำให้เธอตัดสินใจตามฝ่ายชายไป และกลายเป็นวิญญาณตามติดฝ่ายชายไปตลอดกาล แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตรักโรแมนติกในเกาหลีใต้ 

อีกทั้ง ต้นเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนี้ยังเกิดจากสภาพของรถเมล์ที่อยู่ในภาวะไม่สู้ดี แต่ไม่สามารถจอดแวะซ่อมได้ เพราะ การซ่อมนอกอู่ คนขับรถเมล์จะต้องเป็นคนจ่ายเงินเอง ดังนั้น แม้คนขับจะรู้ว่ารถเมล์จะต้องถูกซ่อมด่วนขนาดไหน แต่ด้วยภาวะค่าครองชีพของคนขับ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการควักเงินจ่ายค่าซ่อมนอกอู่รถเมล์จะเป็นไปได้ อุบัติเหตุนี้จะไม่เกิดขึ้นหากบริษัทรถเมล์เป็นผู้จ่ายเงินค่าซ่อมบำรุงในทุกกรณีอาจเป็นทางออกที่ดีได้

ถึงอย่างนั้น คนขับรถเมล์ยังคงคอยส่งทุกคนให้ได้เดินทางไปยังร้านโคมไฟอีกครั้ง เพื่อชดเชยความผิดที่ทำลงไป 

ดังนั้น ถ้าจะให้รีวิวซีรีส์เรื่องนี้สั้น ๆ คงเป็น 

แฟนตาซี ลึกลับ แต่เรียบง่าย ลึกซึ้ง