คล้อยหลังจากที่ “มินนี่-ณิชา ยนตรรักษ์” เมมเบอร์ชาวไทยของวง (G)idle เกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังแดนกิมจิ ให้สัมภาษณ์กับ ELLE KOREA ถึงไอเท็มเด็ดที่ต้องมีคือ “ยาดมหงส์ไทย” ตามติดด้วย “ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล” หรือ “ลิซ่า BLACKPINK” สาวไทยสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีชื่อดังระดับโลกหยิบมาใช้ในวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 26 ปี แบบส่วนตัวกับครอบครัวและเพื่อนสนิทเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยหนึ่งในเพื่อนของ “ลิซ่า” ได้ลงรูปในอินสตาแกรม @aantpw ซึ่งมีอยู่รูปหนึ่งเผยให้เห็น “ลิซ่า” ถือ “ยาดมหงส์ไทย” แบบหลอด ในมืออย่างชัดเจน
โดยปรกติแล้ว ผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่นิยมใช้ยาดมมักคุ้นเคยว่า “ยาดมหงส์ไทย” มีรูปทรงเป็นแบบกระปุก โดยที่หลายๆ คนอาจไม่ทราบว่า “ยาดมหงส์ไทย” มีแบบหลอดที่สะดวกในการพกพามาก่อนด้วย ยิ่งทำให้เกิดการกระตุ้นแห่ซื้อตามกันยกใหญ่จน TikTok ของแบรนด์ @hongthaibrand ทำคอนเทนต์ เปิดเผยว่า สิ่งที่อยู่ในมือ “ลิซ่า” คือ “ยาดมสมุนไพรหมัก” แบบหลอด มี 2 ด้าน ราคาหลอดละ 28 บาท จนกระทั่งเมื่อวันที่ 4 เม.ย.66 เพจเฟซบุ๊ก สำนักงานใหญ่ บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ขออภัยลูกค้า เนื่องจากกระแสตอบรับสินค้าดีมากจนสต็อกหมด
เรียกได้ว่าเป็นอีกครั้งที่ “ลิซ่า” เป็นซอฟต์พาวเวอร์ช่วยให้สินค้าของไทยฟีเวอร์ขายดีขึ้น อย่างที่เคยเป็นปรากฏการณ์มาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่การสวม “ชฎา” ในมิวสิกวิดิโอเพลงเปิดตัวอัลบั้มเดี่ยว LALISA รวมทั้งการพูดถึง “ลูกชิ้นยืนกิน” ในรายการทอล์กเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้ “ลูกชิ้นยืนกิน” ของจังหวัดบุรีรัมย์เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
“เก่ง–ธีระพงศ์ ระบือธรรม” ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด วัย 47 ปี กล่าวว่า ต้นกำเนิดของ “ยาดมหงส์ไทย” เริ่มมาตั้งตี่ 2548 จนปีนี้มีอายุย่างเข้าปีที่ 18 แล้วก็รู้สึกดีใจที่ได้พยายามทำชื่อเสียงให้ประเทศชาติมาตลอดคือ มีการยอมรับในระดับสากล เพราะถ้าชาวต่างชาติซื้อ “ยาดมหงส์ไทย” นั่นแปลว่าลูกค้าได้สินค้าคุณภาพ เกิดการยอมรับไม่ใช่แค่บางกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผ่านมาเหล่านางงามก็ติดต่อเข้ามาเพื่อนำสินค้าไปแจกเพื่อนนางงาม ตรงนี้จึงเป็นความภูมิใจว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของคนไทยที่ช่วยกันเผยแพร่ความสามารถและสินค้าแบบไทยๆ ที่มีเอกลักษณ์
“จริงๆ แล้ว การผลิตสินค้าออกมาทุกครั้ง เรามีเรื่องของอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ตัวตน และที่สำคัญคือไม่เหมือนใคร วันนี้เรายังอยากจะทำให้ลูกค้าทั่วประเทศได้จดจำสิ่งที่หงส์ไทยอยากจะสื่อคือ คนไทย สี ขวด เสน่ห์ ลักษณะ และกลิ่น โดยเฉพาะยาดมหงส์ไทยกระปุกสีเขียวฉลากสีเหลืองที่ขายดีที่สุดก็พัฒนากลิ่นมาแล้วมากกว่า 30 รอบ โดยใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทซึ่งตรงนี้เราพยายามจะสร้างลักษณะให้ลูกค้าจดจำ แต่ในอนาคตน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของฉลาก ขวด รวมถึงแพ็คเกจจิ้งต่างๆ แต่วันนี้เรายังคงลักษณะเดิมอยู่ เพื่อต้องการให้ลูกค้าได้เข้าถึงในสิ่งที่เป็นไทยๆ แบบเชยๆ ยังไม่หวือหวาวูบวาบ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รู้สึกในการทำงานออกมาแบบไทยๆ”
เขาบอกด้วยว่า เส้นทางของ “ยาดมหงส์ไทย” ก่อนจะเติบโตมาจนทุกวันนี้ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มด้วยขวากหนาม จนถึงขนาดทะลุหลัก 50 ล้านบาทในปี 2564 และอาจจะแตะหลักร้อยล้านบาทในปี 2566 โดยมีสินค้าภายใต้แบรนด์ “หงส์ไทย” มากกว่า 50 รูปแบบ ทั้งพิมเสน ยาดม ยานวด ยาหม่อง สเปรย์แอลกอฮอล์สมุนไพร และอื่นๆ อีกมากมาย โดยสามารถผลิตสินค้าได้ราว 3 แสนชิ้นต่อเดือน แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค
“ผมเริ่มทำธุรกิจจากการทำแคบหมูก่อน จากนั้นมีโอกาสอ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ คอลัมน์มุมสร้างอาชีพสอนทำพิมเสนน้ำ เราก็ไปลงคอร์ส และเริ่มลองทำพิมเสนน้ำขายแทนแคบหมูในช่วงปี 2542 ตอนทำขายแรกๆ ก็ยังไม่ตอบโจทย์ จึงไม่สำเร็จเท่าที่ควร ก็เลยเปลี่ยนอาชีพไปทำสารคดี และทำพิมเสนน้ำวางขายในปั๊มน้ำมัน แม้ว่าช่วงแรกๆ ขายค่อนข้างดี แต่ด้วยเหตุที่มีคู่แข่งมากและมีการตัดราคาทำให้ไปไม่รอด”
หลังจากห่างหายจากวงการพิมเสนน้ำไป 2 ปี เขากลับมาสู่การทำธุรกิจนี้อีกครั้งด้วยคำพูดจุดประกายหลังจากแวะกลับไปที่ปั๊มน้ำมันที่นำเอาพิมเสนน้ำไปวางขายที่ว่า “หายไปไหนมา ยังมีลูกค้ามาตระเวนหาพิมเสนน้ำของเราอยู่เลยนะ ปี 2549 จึงเป็นโอกาสการกลับมารอบใหม่ พร้อมกับการถือกำเนิดขึ้นของ “ยาดมหงส์ไทย”
“ชื่อหงส์ไทย ผมได้มาจากตอนไปทำงานสารคดีที่ภูเก็ตครั้งแรก แล้วผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจะมีจุดหนึ่งมีรูปปั้นหงส์ตัวใหญ่ สีสดอยู่ขวามือ เราถูกใจกับภาพที่เห็นมาก เวลาเดินทางก็จะรอดูตลอด จนเกิดเป็นความผูกพัน อีกอย่างหนึ่งเราชอบหงส์ และเราเป็นคนไทย เลยตั้งชื่อว่าหงส์ไทย”
เขาบอกด้วยว่า ในวงการยาดม ตลาดยาใช้ภายนอก ยาหม่อง สเปรย์นวดน้ำมันของประเทศไทยมีมูลค่าการซื้อ หรือมูลค่าของผู้ผลิตทั้งหมดไม่น่าจะต่ำกว่า 3-4 พันล้านบาท โดยในส่วนของหงส์ไทยน่าจะคิดเป็นสัดส่วนยังไม่ถึง 10% ของตลาด แต่ส่วนตัวเชื่อมั่นว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้าอาจจะไปถึง 10-20%ได้ไม่ยาก โดยมีเป้าหมายต้องการแบ่งสัดส่วนในตลาด 20%ให้ได้ โดยปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุคที่ 7 ของเขา นั่นคือยุคที่ “หงส์ไทย” พร้อมที่จะขึ้นไปยืนอยู่ในท็อป 10 ของตลาดยาดมในประเทศไทย พร้อมกับตั้งเป้าว่าภายในปี 2568 จะต้องมีโรงงานที่มีมาตรฐานมากขึ้นกว่าเดิม โดยขณะนี้กำลังเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
“เราไม่ได้มาแค่นี้ แต่เราต้องการเป็นบริษัทสมุนไพรใช้ภายนอกระดับโลก” คือคำพูดสุดท้ายของ “เก่ง–ธีระพงศ์ ระบือธรรม” ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด