ฮันคัง – นักเขียนหญิงชาวเกาหลีใต้ คนแรกที่คว้ารางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรมในปี 2024 นี้ นับได้ว่าเป็นอีกก้าวสำคัญของเกาหลีใต้บนเวทีโลก
LTI Korea - แบบแปลน แบบแปล
รางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม นั้นจะไม่ได้มอบให้ผลงานหนังสือชิ้นใดชิ้นหนึ่งเป็นพิเศษ แต่จะพิจารณาผลงานต่างๆ ที่ผ่านมา จึงเป็นเรื่องที่แน่นอนว่า คณะกรรมการรางวัลนี้นั้นย่อมไม่ใช่ชาวเกาหลี หรือมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาเกาหลีทั้งหมด ดังนั้น นอกจากความเก่งกาจของ ฮันคัง ในการถ่ายทอดความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ ผ่านการบันทึกบาดแผลทางประวัติศาสตร์แล้ว ปฎิเสธไม่ได้ว่า อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผลงานของเธอได้รับการคัดเลือกและพิจารณานั้น คือ “การแปล”
ผลผลิตอันสำคัญจากกระแสฮันรยูนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่ซีรีส์เกาหลี (K-series) หรือเพลงเกาหลี (K-pop) แต่นออกเหนือจากนั้นยังมี วรรณกรรมเกาหลี (K-lit; Korean literature) ที่เป็นตัวแปรสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยส่งกระแสนี้ให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยในปี 2000 มีการจัดตั้งสถาบันการแปลวรรณกรรมแห่งชาติเกาหลี (Literature Translation Institute of Korea; LTI Korea) เพื่อส่งเสริมวรรณกรรมเกาหลีให้ไปไกลสู่ตลาดโลก พร้อมปรับภาพอุตสาหกรรมวรรณกรรมที่มุ่งเน้นเพียงระดับประเทศให้กลายเป็นระดับนานาชาติ
ภารกิจหน้าที่หลักของ LTI Korea คือการหนุนเงินทุนให้กับนักแปลและสำนักพิมพ์ต่างๆ เพื่อจูงใจให้นักแปลและสำนักพิมพ์ไม่ต้องแบกภาระค่าแปลไว้เพียงฝ่ายเดียว รวมถึงยังมีการสนับสนุนกิจกรรมในการค้นหานักเขียนหน้าใหม่อยู่เป็นระยะ เพื่อเสริมสร้างฐานอุตสหกรรมหนังสือให้แข็งแรง ไปจนถึงสนุบสนุนนักแปลภาษาให้มีคุณภาพมาตราฐาน โดยในปี 2001 มีวรรณกรรมที่ถูกแปลเพียง 22 เรื่อง 9 ภาษา แต่ในปี 2024 มีวรรณกรรมที่ถูกแปลเพิ่มมากขึ้นถึง 63 เรื่อง 44 ภาษา พร้อมกับยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงปี 2017 เค้าลางของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมเริ่มขยับเข้าใกล้มาทีละนิด เนื่องจากในปีนั้น หนังสือเรื่อง The Vegetarian ของฮันคังได้รับรางวัล International Man Booker Prize ซึ่งเป็นรางวัลที่จะมอบให้แก่วรรณกรรมที่ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษ และถือได้ว่าเป็นรางวัลใหญ่ของวงการวรรณกรรมตะวันตก ทำให้ชื่อของฮันคังเริ่มถูกพูดถึงมากขึ้น
และในปีเดียวกันนั้นเอง คิมจียอง เกิดปี 82 ของโชนัมจูเอง ก็กลายเป็นหนังสือขายดีระดับนานาชาติและถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2019 คิมจียงเกิดปี 1982 พร้อมกับวรรณกรรมเกาหลีอีกจำนวนมากที่ขึ้นรับรางวัลในเวทีตะวันตก ชี้ให้เห็นว่าวรรณกรรมเกาหลีเริ่มก้าวเข้ามามีบทบาทในวงการวรรณกรรมโลกอย่างเต็มตัว หลังจากดำเนินงานมาเกือบ 20 ปี
#ไอดอลอ่าน #แฟนคลับอ่าน
นอกจากการมีอุตสาหกรรมการแปลและส่งออกที่แข็งแรง อีกหนึ่งอิทธิพลที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลต่อวงการวรรณกรรมเกาหลีเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ กระแส #ไอดอลอ่าน ที่กระตุ้นยอดขายวรรณกรรมเกาหลีแปลได้เป็นอย่างดี เพราะตอนนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า อุตสาหกรรม K-pop นั้นมีอิทธิพลขนาดไหนต่อโลกใบนี้ แฟนคลับจำนวนมากที่รออยู่ทุกมุมโลกต่างพร้อมใจกันอยากอ่านหนังสือที่ไอดอลของตนชื่นชอบ เพราะอย่างไรก็ดี หนังสือก็เป็นเหมือนประตูอีกบานหนึ่งที่จะสื่อให้เห็นถึงทัศนคติบางอย่างได้ไม่น้อย (ช่วงหนึ่ง ร้านหนังสือและงานหนังสือในไทย ก็จะเต็มไปด้วยป้าย #ไอดอลอ่าน อำนวยความสะดวกให้แฟนคลับได้เลือกซื้อหนังสือตามไอดอลที่ตนชื่นชอบ)
ประกอบกับเรื่องราวที่เหล่าไอดอลต่างหยิบมาอ่านนั้นยังมีแง่มุมชีวิตที่ตรงใจกับผู้คนส่วนใหญ่ที่กำลังต้องต่อสู้กับการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ อาทิ ‘A Piece Of The Moon’ บันทึกแห่งความไม่สมบูรณ์ที่จะเผยให้เราเห็นว่าชีวิตของเราล้วนไม่สมบูรณ์แบบ ขาดวิ่นและเว้าแหว่ง โดยหนังสือเล่มนี้เขียนโดย Ha-Hyun และถูกพูดถึงเป็นอย่างมากจากกระแส #มินฮยอนอ่าน ในช่วงทำกกิจกรรมวง Wanna One หรือ ‘เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด’ ที่เขียนโดย คิมรันโด และเป็นที่พูดถึงมากขึ้นจาก #นัมจุนอ่าน รวมถึง ‘คิมจียอง เกิดปี 82’ นิยายที่ไม่ได้ไปกับค่านิยมปิตาธิปไตยของเกาหลี พร้อมเปิดเผยอีกด้านของสิทธิสตรีเองก็เป็นอีกหนึ่งเล่มที่#ไอรีนอ่าน และไอดอลอีกหลายคนเลือกอ่าน
แปลให้โลกอ่าน
เคยมีคนวิเคราะห์กันไว้ว่า ในการประกวดนางงามระดับโลก ประเทศไหนกำลังมีอิทธิพลหรือประเด็นทางการเมืองบางอย่าง มงจะลงสาวจากประเทศนั้น ทำให้คาดเดาได้ไม่ผิดโผว่ามงจะลงที่ใคร การได้รับรางวัลในใเวทีระดับโลก จึงเป็นอีกนัยหนึ่งของการยืนยันอิทธิพลทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัด
หากมองในมุมเดียวกันนี้ ในวันที่ Parasite คว้ารางวัลบนเวทีโลกอย่างออสการ์ นับได้ว่าเป็นการยืนยันอิทธิพลของเกาหลีใต้ที่ก้าวข้ามกำแพงภาษา ผ่านภาพยนตร์มาแล้ว ดังนั้น การได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรมของฮันคังในครั้งนี้ จึงไม่ต่างจากการการยืนยันอิทธิพลของเกาหลีใต้ผ่านเรื่องราวอีกครั้ง
ฮันคัง จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการวางรากฐานโครงสร้างอุตสาหกรรมการแปลวรรณกรรม ด้วยการมีรัฐอุปถัมภ์อย่างพอเหมาะ ไม่ได้เผด็จการหรือปล่อยให้อุตสาหกรรมนี้ลอยคอตามมีตามเกิด แต่คอยส่งเสริมเสรีภาพทางวรรณกรรม ทุ่มงบไปถูกจุดยังการแปลและส่งออกอย่างมหาศาลกระตุ้นเศรษฐกิจกลับเข้าประเทศ พร้อมส่งออกวัฒนธรรมไปสู่สายตานักอ่านได้อย่างแนบเนียน จนกระทั่งขึ้นคว้ารางวัลโนเบลมาไว้ในครอบครองได้สำเร็จ
ในจุดนี้ก็คงต้องรอดูสำนักพิมพ์ในไทยเจ้าใดจะหยิบหนังสือเล่มไหนของฮันคังมาแปลไทยให้ได้ถอดบทเรียนกันต่อไปในอนาคต
พอหันกลับมามองวงการวรรณกรรมไทย คงจะไม่ผิด ถ้าจะกล่าวว่าการฝันถึงรางวัลโนเบลยังคงเป็นฝันในตอนบ่ายแก่ๆของวันอาทิตย์ แต่จะเรียกว่าเป็นที่น่าแปลกใจเสียทีเดียวก็ไม่เชิง แม้ในตอนนี้ไทยเองจะมีทั้งวรรณกรรมคลาสสิค วรรณกรรมสมัยใหม่ขึ้นหิ้งอยู่หลายเรื่อง แต่เรื่องราวเหล่านั้นก็ยังไปไม่ถึงตลาดโลก ติดกับดัก ‘การแปล’ ที่ยังไม่เติบโต แถมยังอยู่ใต้โครงสร้างอุตสาหกรรมวรรณกรรมภายในประเทศที่ยังไม่แข็งแรง สำนักพิมพ์และนักอ่านกลายเป็นตัวแบกในทุกงานหนังสือ การวางรากฐานโครงสร้างอุตสาหกรรมทั้งภายในและภายนอกจึงเป็นสิ่งจำเป็น แม้จะต้องใช้เวลากว่า 20 ปี แต่นั่นก็คุ้มค่า เพราะไม่แน่ว่า ไทย ก็อาจจะมีนักเขียนรางวัลโนเบลได้ในสักวันหนึ่ง
…
อ้างอิง
Medina, Jenny Wang. “At the Gates of Babel: the Globalization of Korean Literature as World Literature.” Acta Koreana 21, no. 2 (2018): 395-421. https://muse.jhu.edu/article/756423.
Levitt, P., Shim, BS. Producing Korean literature (KLit) for export. J. Chin. Sociol. 9, 10 (2022). https://doi.org/10.1186/s40711-022-00164-3.