Skip links

สรุป 10 บทเรียน ‘ลิขสิทธิ์’ ต้องรู้! จากช่วงเสวนางาน GeneLabCon

GeneLabCon นอกจากจะเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ประจำปีของค่าย GeneLab แล้ว งานนี้ยังมีช่วง Hard Talk ที่น่าสนใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมดนตรี โดยช่วงเสวนาทั้งสองวัน มีการแบ่งหัวข้อดังนี้ วันแรกหัวข้อหลักคือเรื่อง “ลิขสิทธิ์เพลงเป็นของใคร?” ส่วนหัวข้อหลักวันที่สองคือ “ค่ายเพลงยังจำเป็นอยู่ไหม?” ทั้งนี้ เนื่องจากสองหัวข้อดังกล่าวมีเนื้อหาบางส่วนที่คาบเกี่ยวกัน เราจึงขอสรุปรวมประเด็นทั้งสองวันเลยแล้วกัน

1. ลิขสิทธิ์ = ทรัพย์สิน

ในยุคนี้ แม้ซีดีอาจไม่ได้ขายเป็นกอบเป็นกำเหมือนสมัยก่อน แต่ข้อดีของสตรีมมิ่งก็คือ มีการจัดเก็บที่เป็นระบบระเบียบมากขึ้นผ่านองค์กรตัวแทนต่างๆ ซึ่งกระบวนการนี้สามารถนำ return มาสู่ผู้สร้างสรรค์ได้เรื่อยๆ เป็นทรัพย์สินที่สร้าง passive income และความมั่นคงในระยะยาวแก่นักแต่งเพลงได้ เพื่อไม่ให้ผู้ผลิตผลงานจำต้องปล่อยเงินหลุดมือ เหตุเพราะเสียรู้เรื่องกฎหมายอีกต่อไป

ในส่วนของแฟนคลับ เพียงสนับสนุนผลงานของศิลปินที่รักผ่านช่องทาง official แค่นี้ก็เป็นแฟนด้อมที่น่ารักแล้ว

2. เกณฑ์มาตรฐาน กี่เปอร์เซ็นต์ถึงจะแฟร์? ​

เรื่องนี้คงต้องกล่าวว่า แม้แต่ระดับโลกก็ไม่มีสัดส่วนตายตัว ขึ้นอยู่กับข้อตกลง ใครทุ่มกำลังเยอะก็ควรได้เยอะ แต่คนที่ได้น้อยกว่าก็อย่าให้น้อยจนเกินไป แต่ในเบื้องต้น สำหรับศิลปิน/นักแต่งเพลง การเซ็นสัญญา ทำข้อตกลงเรื่องลิขสิทธิ์ ทุกฝ่ายบนโต๊ะเจรจาต้องรู้เท่ากัน แต่การตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจส่วนตัว

การเซ็นสัญญามันคือดีล ถ้าสมประโยชน์กัน ตกลงกันได้ก็จบ ต่อให้ตัวลิขสิทธิ์เป็นของค่ายก็ตามที เพราะบางคนทำเอง โปรโมทเอง จัดเก็บเอง อาจจะได้น้อยกว่ายกให้ค่ายจัดการด้วยซ้ำ นานาจิตตัง (เรื่องการเซ็นสัญญาศิลปิน เดี๋ยวค่อยว่ากันยาวๆ ครึ่งหลัง)

ในปัจจุบันนี้ มีการพยายามผลักดันให้นักแต่งเพลง ต้องได้ไม่ต่ำกว่า 15 % แต่ก็นั่นแหละ เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย เฉพาะยิ่งในบริบทสังคมไทย ซึ่งยังไม่มี ‘สหภาพนักดนตรี’ เป็นกลุ่มก้อน ที่รวมตัวกันเพื่อผลักดันเรียกร้องให้มี ‘มาตรฐานกลาง’ ในเรื่องนี้ อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับกฎหมายภาครัฐ และนโยบายเอกชนหลายฝ่าย จึงต้องใช้ความร่วมมือกันระดับมหภาคทีเดียว

3. จ้างศิลปินไปเล่น ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์อีก?

หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่จ้างศิลปินไปเล่น นอกจากต้องจ่ายค่าจ้างแล้ว ค่าลิขสิทธิ์ก็ต้องจ่ายด้วยเหมือนกัน และที่สำคัญ ในกรณีที่ค่ายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ตัวศิลปินเองก็ต้องขออนุญาตค่ายก่อนใช้เพลงทุกครั้ง แม้จะเป็นเพลงที่เขียนเอง/ทำเองก็เถอะ คือค่ายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ เมื่อค่ายได้ค่าจัดเก็บลิขสิทธิ์มาแล้ว ก็จะนำมาแจกจ่ายให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งเงินก็จะวนมาถึงศิลปินเอง

เพราะว่าเพลงมันคืองานกลุ่มอะเนอะ ทางที่ดีจึงควรได้กันอย่างทั่วถึงทุกฝ่าย แต่เวลาจ้างศิลปินไปเล่น เงินส่วนนี้มักจะรวมมากับค่าจ้างแล้ว

4. ทำเพลง cover เสียลิขสิทธิ์ไหม?

ถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมา หากก่อเกิดรายได้ก็ต้องเสียนั่นแหละ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะได้รับการอะลุ่มอล่วยให้ ไม่คิดเงิน cover ไปเถอะ แต่หากก่อเกิดรายได้ เจ้าของลิขสิทธิ์ก็จะได้เงินส่วนใหญ่ไป และยังมีเรื่องว่าใช้ดนตรีเป็น backing track อีกหรือเปล่า แต่อย่างใน Youtube ก็จะมีระบบตรวจจับลิขสิทธิ์อยู่ เพื่อให้เจ้าของลิขสิทธ์เลือกเคลมได้ หากคิดจะทำ cover เรื่องนี้คงต้องศึกษาให้ละเอียดเสียก่อน


5. ค่ายเพลงยังจำเป็นอยู่ไหม?

ในยุคนี้ ใครจะเป็นศิลปินก็ย่อมได้ทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ทุกรายจะสามารถจัดการทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามาได้ ซึ่งค่ายเพลงก็จะเข้ามามีบทบาทตรงนี้แหละ จัดการทุกอย่างให้เป็นระบบแบบแผนชัดเจนยิ่งขึ้น สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับตัวศิลปิน ว่าต้องการความช่วยเหลือส่วนไหน? จะแบ่งบทบาทกันอย่างไร? แต่ถ้าศิลปินคิดว่าสามารถจัดการเองได้ ก็ไม่ต้องพึ่งสังกัด 

สรุปคือ อยู่ที่ความต้องการของศิลปินเลย ถ้าต้องการคนมาช่วย-ก็จำเป็น แต่ถ้าไม่ต้องการ-ก็ไม่จำเป็น มีไปก็ปวดเฮดเสียเปล่า จบดีล

6. “บทเรียนมหาประลัย…ผมไม่ยอมให้ใครทำ”

ข้างต้นนี้คือคำพูดของ “กิต Three Man Down” ซึ่งกล่าวย้อนไปถึงกาลครั้งที่วงดนตรีขวัญใจวัยรุ่นวงนี้ เคยต้องทำงานในสถานการณ์ที่ไม่ตรงตามความปราถนาของวง เหตุการณ์นั้น นำมาซึ่งบทเรียนครั้งสำคัญแก่สมาชิก เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่จะทำงานของเราออกมาได้ดีที่สุด คงไม่พ้นตัวเราเอง แต่ก่อนอื่นใด ตัวเราเองก็ต้องพัฒนาทักษะให้สามารถตอบสนอง ‘เสียงในฝัน’ ให้ได้ด้วย เพราะการสร้างสรรค์ผลงานเพลง มิใช่การคว้าเสียงในอากาศที่เลื่อนลอย แต่คือการปั้นแต่งด้วยสองมือของเรานี่แหละ ถ้าเราไม่มีทักษะเพียงพอจะสื่อสารสิ่งที่อยู่ในหัว ก็จะนำไปสู่ปัญหาข้างต้น

ความฝันอันยิ่งใหญ่ ต้องมาพร้อมทักษะ

7. อยากจะได้มา…ก็ต้องเสียไป

ช่วงหนึ่งของการเสวนา “พี่โอม ค็อกเทล” เล่าว่าแกไม่ชอบ MV บางตัวของวงค็อกเทลที่ผ่านมา ถึงขนาด MV ออกมาแล้วก็ไม่ดู จนถึงวันนี้ก็ยังไม่อยากดู เพราะนั่นไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการจะเป็น แต่ทว่าทางต้นสังกัดในเวลานั้น เชื่อว่าการทำอย่างนี้จะเกิดผลดีทางรายได้แน่ๆ สุดท้ายจึงเป็นบทเรียนที่พี่โอมได้เรียนรู้ว่า ไม่มีอะไรเป็นดั่งใจเราทุกอย่างบนเส้นทางศิลปิน และบางครั้ง เราต้องเรียนรู้ที่จะสูญเสียอะไรบางอย่างไป เพื่อให้ได้อะไรกลับมา 

เพราะสุดท้ายแล้ว พี่โอมเล่าว่า MV ตั้วนั้นก็ได้ผลลัพธ์ตามประสงค์ของค่าย ซึ่งสร้างประโยชน์ให้แก่วงค็อกเทลจริงๆ แม้จะไม่ใช่สิ่งที่พี่โอมต้องการก็ตามที แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมาจากงานนั้น สามารถนำมาต่อยอดภาพฝันของวงค็อกเทลได้ในเวลาต่อมา พี่โอมทิ้งท้ายเรื่องนี้สั้นๆ ว่า “รสนิยมผมมันใช้เงินเยอะ”

เข้าใจตรงกันนะ

8. ประสบความสำเร็จแล้ว เอาไงต่อ?

ศิลปินน้องใหม่ค่าย GeneLab อย่าง “น้องก้อง ห้วยไร่” ได้ปรารภต่อหน้าธารกำนัลถึงสาเหตุที่ปลงใจเข้ามาสังกัดค่ายเป็นครั้งแรกในชีวิตว่า “ถ้าเราอยากเก่งกว่าเดิม เราต้องไปหาคนที่เก่งกว่า เพราะเราไม่สามารถทำเองได้ทุกอยาก” 

“ผมหมดไฟแล้ว ผมผ่านอะไรมาเยอะ มีทุกอย่างแล้ว แต่ยังไม่มีโลกใบใหม่ ผมไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ในวงการลูกทุ่งแล้ว…แต่ผมยังอยากอยู่ในวงการนี้ต่อ แล้วก็ไม่อยากอยู่แบบเดิมด้วย เลยต้องมาหาคนที่เก่งกว่า”

เอาเข้าจริงชื่อเสียงระดับ ก้อง ห้วยไร่ นี่ก็สามารถจะสุขสบายไปทั้งชีวิตได้แล้วแหละ แต่การเข้ามาเรียนรู้ในพื้นที่ที่ตนเองไม่เคยได้สัมผัส จึงสะท้อนให้เห็นว่า หนึ่งในคุณสมบัติของคนเก่งคือ “ไม่หยุดพัฒนา หมั่นแสวงหาความรู้ใหม่ๆ เข้าไว้”

9. จักรวาล GeneLab

มีช่วงหนึ่งพี่โอมได้กล่าวว่า “งานของ GeneLab คืองานบริการ ให้บริการแก่ศิลปิน” โดยที่เอกลักษณ์ของค่ายนั้นมีความหลายหลาย มีศิลปินหลายแนว ซึ่งสีสันที่แตกต่างกันไป จะมีส่วนในการประกอบสร้างระบบนิเวศน์ของค่าย 

นึกๆ ดูแล้ว ราวกับเป็นจักรวาล GeneLab ที่มีคาแรคเตอร์มากมาย ให้ผู้บริโภคเลือกเมนของตนเองได้ตามใจชอบ ด้วยความที่สมาชิกค่ายมีความสนิทสนมกันเป็นทุน โดยศิลปินแต่ละรายก็จะเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ทำคอนเทนต์ด้วยกันอยู่บ่อยๆ ทำให้แฟนคลับของวงหนึ่ง มักเปิดใจเป็นแฟนอีกวงได้ไม่ยาก ส่งผลให้หลายคน เมื่อเข้าสู่จักรวาล GeneLab แล้ว ยิ่งถลำตัวไปใหญ่ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ออกไม่ได้ซะแล้ว

10. ค่ายเพลงกับศิลปิน ไม่มีใครเป็นหนี้บุญคุณใคร

อีกหนึ่งแนวคิดที่ได้จากงานนี้คือ “ค่ายเพลงกับศิลปินไม่ต่างจากผู้ร่วมธุรกิจกัน” มีส่วนแบ่งที่ win win กันทั้งคู่ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครต้องตอบแทนบุญคุณใครทั้งนั้นในความสัมพันธ์นี้

ที่สำคัญ ความแฟร์ในวันนี้ ใช่ว่าจะแฟร์ถาวรตลอดไป เพราะสองฝ่ายที่สมประโยชน์กันในปัจจุบัน หากวันข้างหน้าไม่สมประโยชน์กันแล้ว ตัดสินใจไม่เซ็นต่อก็ไม่เป็นไร เป็นธรรมดาที่ต้องแยกย้าย